Language..

วันจันทร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2557

มาดูเพลงที่อยากจะแนะนำกันดีกว่า ตอนที่ 1.Vital Remains - Icon Of Evil













Line Up.
Vital Remains
Production
  • Shawn Ohtani – engineer
  • Erik Rutan – producer, engineer
  • Alan Douches – mastering
  • Kris Verwimp – artwork, cover art

Track listing

All songs written and composed by Tony Lazaro and Dave Suzuki. 
No. Title Length
1. "Where Is Your God Now"   1:54
2. "Icons of Evil"   7:35
3. "Scorned"   8:42
4. "Born to Rape the World"   8:11
5. "Reborn... the Upheaval of Nihility"   7:43
6. "Hammer Down the Nails"   6:12
7. "Shrapnel Embedded Flesh"   6:48
8. "'Til Death"   9:14
9. "In Infamy"   6:17
10. "Disciples of Hell" (Yngwie Malmsteen cover) 4:54
Total length:
67:19


Studio album by Vital Remains
Released April 3, 2007
Recorded December 2006 at Mana Studio, in St. Petersburg, Florida
Genre Death metal
Length 67:19
Label Century Media
Producer Erik Rutan


ตอนแรก จำได้ที่หัดฟังเพลงก็จำพวก เพลง ป๊อป ร๊อค บ้าง .. คือเนื้อหามันจะวนไปวนมา ซ้ำ ๆ ไม่ค่อยมีอะไรที่พูดถึง ความ สกปรกของสังคม ของด้านมืดของมนุษย์ ซึ่งในความเป็นจริง แล้ว มันอยู่รอบ ๆ ตัวเราในทุก ๆ วัน เพียงแต่เรากลับมองข้ามมัน แล้วหยิบสิ่งที่เรียกว่า ภาพลวงตาที่ สังคมประเคนให้ โดยที่ลืมความจริงไปว่า มันไม่ได้มีแต่ด้านสวยงาม ... ก็เลยรู้สึกว่า มันพอแล้ว สภาพจิตใจเรา ไม่สามารถที่จะหลอกตัวเองได้อีก ก็เลยหันมาลอง ๆ ทำความรู้จักกับ เพลงที่เรียกว่า Metal ดู...

เป็นคนที่ไม่ชอบฟังเพลงมาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากเป็นคนแข็งกระด้าง และ ไม่ค่อยชอบความอ่อนไหว ในการฟังเพลงแล้วเคลิ้ม มันทำให้เราเป็นคนอ่อนแอ เพราะตั้งแต่เด็ก เป็นคนที่มักจะซึมซับอะไรได้ง่าย ในเรื่อง เลวร้าย ในเรื่องดี ๆ .. แต่ พ่อก็ชอบเล่นดนตรีมาก อันนี้ไม่รู้ว่าเราจะได้ตรงนี้มาหรือเปล่า ...

พอฟังเพลงตลาดไปซักพัก ก็รู้ว่าเอ่อ มันชักจะเบื่อเลยหันลองไปฟังพวก Guns N' Roses,Led Zeppelin,Black Sabbath,Deep Purple,UFO,Jemi Hendrix, ก็เลยอ๋อ ทำไมมันต่างกันจังเลยวะ เพลงต่างประเทศเนี่ย มันคล้าย ๆ กับนอนดูหนังไปเลย ไรงี้ ท่อนโซโล่ ก็จะยาวเอาเป็นเอาตาย 3-5 นาทีไปเลย แบบ ทุกเม็ดออกมาเนี่ย เราเล่นไม่ได้เลย ถึงกับอึ้ง โอว.. นี่มันเพลงอะไรกันแน่ มีเพลงแบบนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ ?? ตอนแรกก็ลองฟัง ไม่หนักมาก เพราะไม่เข้าใจว่า เพลงหนัก จะสื่อถึงอะไรกันแน่ ...

มักจะเห็นมีแต่พวกเด็กแว๊นที่ใส่เสื้อดำ ๆ แต่งตัวพังค์ ๆ ไอ เราก็คิดว่า พวกฟังเพลงหนัก น่าจะเป็นพวก เด็กไม่เอาใหน กระมัง .. ก็เลย ไม่ใส่ใจอะไร.. ค่อยมาเขียนต่อใน ตอนต่อไปละกัน ...


†×† ..SoundOfMadness.. †×†


บทความ DiaryOfDarkness(Old Book) P.3

 รูปภาพ : .. ด้านมืด และบทเพลงแห่งด้านมืด ปราชญ์และศาสตร์มืด เป็นเพียง ที่ ๆ พักผ่อนหลับนอน ให้แก่ด้านที่ข้าพเจ้าอย่างเสรี เกื้อหนุน เป็นที่ ๆ ปลอดภัยยามข้านั้น หมดศรัทธา และมอบพลังให้ข้า มีแรงที่จะก้าวเดินไปบนเส้นทางที่แสนจะสกปรก ที่มนุษย์นั้น ทิ้งร่องรอย และความด่างพร้อยเอาไว้ .. ข้ามิใช่จัก แค่ใส่เสื้อ ฟังเพลง แล้วคลุ้มคลั่งไปกับมันโดยที่มิเคยได้ศึกษาอย่างแท้จริงว่า ศาสตร์ด้านนี้มิใช่แค่เพลง ที่ข้าพเจ้าเจอนั้น มีเหตุชีวิตให้ต้องพบเจอ บอกตรง ๆ ข้าพเจ้ามิเคยชอบเพลงแนวนี้ศาสตร์ด้านนี้ และไม่เคยคิดจะฟังมันแม้แต่น้อยแต่ชีวิต ก็มีเหตุต้องเป็นไป . . ...วิถีชีวิตที่เงียบ สงบ และอิงธรรมชาติ การหลุดพ้นดั่งที่ Gaahl แห่ง Gorgoroth ได้กล่าวเอาไว้ . . จากกรอบแห่งความวุ่นวาย ยุ่งเหยิง ที่ไม่รู้จักจบสิ้น ของวงจร อุบาทว์ ด้านของโลกีย์ ที่มนุษย์ ได้ประเคนให้ ไม่เว้นแต่ละวัน ... มนุษย์ มีแต่ความโลภ และความต้องการ ที่ไม่มีที่สิ้นสุด . . โลกประเคนให้ไม่เคยรู้จักคำว่าพอ . .  แต่ข้าพเจ้าก็เอ่ยถึงแค่คนบางชนชั้นเท่านั้น เพราะคนดี ๆ ก็ยังมี พอจะมีบ้าง ...ที่เป็นมิตรสหายได้ ... ส่วนไอ้การกระทำที่ Maleficent Meditation ไอเศษมนุษย์ และเด็กอมมือ ที่เข้าใจ และทึกทักไปเอง ว่าซาตานเป็นแบบนั้น แบบนี้แล้วก็ไปฆ่าคนไม่ต่างจากเดรัจฉานที่ทำตัวนึง ... ก็ขอให้มัน ได้รับผลแห่งการกระทำ จากตัวของมันเองแล้วกั้น ผลแห่งการกระทำทุกอย่าง มันจะถูกลิขิตเอาไว้แล้ว...

โลกที่เงียบสงบหลังจากพายุได้พัดเข้ามา โถมใส่ชีวิตข้าพเจ้านั้น มันหนักหนาสาหัส จนบางครั้ง ก็ไม่เหลือความเชื่อ และศรัทธาในตัวมนุษย์ผู้ใดได้อีก ... ผู้ที่ทำชั่ว ก็จะไปตามกรรมที่กระทำของมัน ผู้ที่ทำดีก็จะได้รับสิ่งที่ดีตอบแทน ฉันใดฉันนั้น ... ผู้ใดกระทำและฝักใฝ่สิ่งใด ค้นหาสิ่งใด ก็จะได้รับสิ่งนั้นตอบแทน ไม่เร็ว ก็ช้า เพราะมันได้จัดสรรไว้ล่วงหน้าแล้ว ... ดั่งที่ข้าพเจ้า มาเจอกับพวกท่าน อาเมน ...

...ศาสตร์แห่งด้านมืดแล้วแต่ แต่ละคนจะเข้าใจมันในด้านใหน บางคนก็กลายเป็นอันธพาล เป็นหัวรุนแรง บางคนเป็นนักปฏิวัติ บางคนชอบในการสะสมศิลปะ บางคนแอนตี้มนุษย์ และบางคนเป็นผู้เผยแพร่ แล้วแต่จะออกมาเป็นรูปแบบใหน ... 

ข้าเองเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างสงบ บนเส้นทางที่สร้าง และใช้วิถีชีวิต ควบคู่ไปกับมัน และศึกษาไปกับมัน อะไรจริง อะไรกระแส อะไรของเก๊ และอะไรคือ ศาสนา ... เพราะข้านั้นศึกษากับมันเป็นเวลาเกือบ 10 ปีเห็นจะได้... ขอบคุณที่ให้จิตใจข้าพเจ้าเป็นที่หลับนอนและมอบความแข็งแกร่งให้ตลอดมา อาเมน ...

Letter from lucifer . . .(Lux - Ferrer)
Song of .. the dark side and the dark side. Sages and dark is just a place to sleep and relax . To the side that I freely suspended is the security guard then put my faith and gave me strength . Have the strength to walk on a path that is very dirty. The man then left the tracks and I will not blot out .. I put music to it by the weird and never really studied it. Science is not just a song Then I met There is a life to be honest , I have never found like this, the unique music . And never to listen to it even though life. Because it has to be ..... quiet and nature-based lifestyle . Salvation , just as Gaahl of Gogoroth have mentioned .. from the chaos of clutter prolonged bouts mundane aspects of the human being spoon-fed the eviscerated ... but greed and human needs. Endless trays .. the world has never known the word .. but as I mentioned just a few classes because I would still have enough to have some friends ... that is it ... the bastard . action Maleficent Meditation vapor fraction and infantile human understandable and arrogate to themselves. That Satan is, This was to kill people, not unlike the beast that made me ... I wish it had been the result of the action. Of its own, then the stem . Consequences of every action It is already destined ...

The quiet after the storm blew through . I then threw your life It's tough sometimes to not have faith. And faith in a man who has another ... who do evil deeds will follow the action of it. Those who do good will receive good things in return ... so I am a man , and concentrate on what Kierkegaard would have them return sooner or later because it was allocated in advance ... as mentioned above. I Meet with you ... Amen

Science of the dark ... Each person will understand it in then. Some people became thugs a radical Some revolutionary Some people like to collect art. Some anti- human And some publishers Whichever turns out to be shape, or ...

I personally choose to live peacefully. Created on And lifestyle Alongside it And education to go with it , what 's real and what 's fake and what is the current religious studies ... because I was on it for almost 10 years it will be ...
Thanks for your soul is sleeping and give strength to all the amen ...07-02-2014

.. ด้านมืด และบทเพลงแห่งด้านมืด ปราชญ์และศาสตร์มืด เป็นเพียง ที่ ๆ พักผ่อนหลับนอน ให้แก่ด้านที่ข้าพเจ้าอย่างเสรี เกื้อหนุน เป็นที่ ๆ ปลอดภัยยามข้านั้น หมดศรัทธา และมอบพลังให้ข้า มีแรงที่จะก้าวเดินไปบนเส้นทางที่แสนจะสกปรก ที่มนุษย์นั้น ทิ้งร่องรอย และความด่างพร้อยเอาไว้ .. ข้ามิใช่จัก แค่ใส่เสื้อ ฟังเพลง แล้วคลุ้มคลั่งไปกับมันโดยที่มิเคยได้ศึกษาอย่างแท้จริงว่า ศาสตร์ด้านนี้มิใช่แค่เพลง ที่ข้าพเจ้าเจอนั้น มีเหตุชีวิตให้ต้องพบเจอ บอกตรง ๆ ข้าพเจ้ามิเคยชอบเพลงแนวนี้ศาสตร์ด้านนี้ และไม่เคยคิดจะฟังมันแม้แต่น้อยแต่ชีวิต ก็มีเหตุต้องเป็นไป . . ...วิถีชีวิตที่เงียบ สงบ และอิงธรรมชาติ การหลุดพ้นดั่งที่ Gaahl แห่ง Gorgoroth ได้กล่าวเอาไว้ . . จากกรอบแห่งความวุ่นวาย ยุ่งเหยิง ที่ไม่รู้จักจบสิ้น ของวงจร อุบาทว์ ด้านของโลกีย์ ที่มนุษย์ ได้ประเคนให้ ไม่เว้นแต่ละวัน ... มนุษย์ มีแต่ความโลภ และความต้องการ ที่ไม่มีที่สิ้นสุด . . โลกประเคนให้ไม่เคยรู้จักคำว่าพอ . . แต่ข้าพเจ้าก็เอ่ยถึงแค่คนบางชนชั้นเท่านั้น เพราะคนดี ๆ ก็ยังมี พอจะมีบ้าง ...ที่เป็นมิตรสหายได้ ... ส่วนไอ้การกระทำที่ Maleficent Meditation ไอเศษมนุษย์ และเด็กอมมือ ที่เข้าใจ และทึกทักไปเอง ว่าซาตานเป็นแบบนั้น แบบนี้แล้วก็ไปฆ่าคนไม่ต่างจากเดรัจฉานที่ทำตัวนึง ... ก็ขอให้มัน ได้รับผลแห่งการกระทำ จากตัวของมันเองแล้วกั้น ผลแห่งการกระทำทุกอย่าง มันจะถูกลิขิตเอาไว้แล้ว...

โลกที่เงียบสงบหลังจากพายุได้พัดเข้ามา โถมใส่ชีวิตข้าพเจ้านั้น มันหนักหนาสาหัส จนบางครั้ง ก็ไม่เหลือความเชื่อ และศรัทธาในตัวมนุษย์ผู้ใดได้อีก ... ผู้ที่ทำชั่ว ก็จะไปตามกรรมที่กระทำของมัน ผู้ที่ทำดีก็จะได้รับสิ่งที่ดีตอบแทน ฉันใดฉันนั้น ... ผู้ใดกระทำและฝักใฝ่สิ่งใด ค้นหาสิ่งใด ก็จะได้รับสิ่งนั้นตอบแทน ไม่เร็ว ก็ช้า เพราะมันได้จัดสรรไว้ล่วงหน้าแล้ว ... ดั่งที่ข้าพเจ้า มาเจอกับพวกท่าน อาเมน ...

...ศาสตร์แห่งด้านมืดแล้วแต่ แต่ละคนจะเข้าใจมันในด้านใหน บางคนก็กลายเป็นอันธพาล เป็นหัวรุนแรง บางคนเป็นนักปฏิวัติ บางคนชอบในการสะสมศิลปะ บางคนแอนตี้มนุษย์ และบางคนเป็นผู้เผยแพร่ แล้วแต่จะออกมาเป็นรูปแบบใหน ...

ข้าเองเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างสงบ บนเส้นทางที่สร้าง และใช้วิถีชีวิต ควบคู่ไปกับมัน และศึกษาไปกับมัน อะไรจริง อะไรกระแส อะไรของเก๊ และอะไรคือ ศาสนา ... เพราะข้านั้นศึกษากับมันเป็นเวลาเกือบ 10 ปีเห็นจะได้... ขอบคุณที่ให้จิตใจข้าพเจ้าเป็นที่หลับนอนและมอบความแข็งแกร่งให้ตลอดมา อาเมน ...

บทความ DiaryOfDarkness(Old Book) P.2

 

...เรื่องที่ไม่น่าเชื่อ ว่ามันจะเกิดขึ้นจริง..!!!??
เกี่ยวกับฉันเองในวันวาน...
เกี่ยวกับฉันเองที่ยังคงเดินอยู่เพียงลำพัง...
และอยาก(ยาก) ที่จะลบบาดแผลในอดีต ที่มันฝังลึก และกัดกินทั้งตัว หัวใจ ร่างกาย และ หยั่งลึกถึงจิตวิญญาณแห่งความสกปรก อ
าฆาต พยาบาด และ เลือดที่ไม่มีวันหยุดไหล...??

..บาดแผลที่กำลังค่อย ๆเยียวยา.. จากความหวังคนเธอหนึ่ง..เธอคือคนที่จะลบบาดแผลที่ไร้การเยียวยาได้จริง หรือ.. คมมีด ถูกพักทิ้งไว้ บาดแผลค่อย ๆ สมาน..วิญญาณกำลังค่อย ๆสงบ ..

..ทุกครั้งที่ฉันพยายามจ้องมองตัวเองในเงามืด บนกระจก และหยิบมีดขึ้นมา มันค่อย ๆ ลากลงมากรีดที่บาดแผลเดิม และภาพเก่า ๆ มันก็ผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของความเจ็บปวด ลึก ๆ แล้ว ฉันอยากให้มันจบสิ้นลงซักที พายุแห่งความชัง...ฉันมันแค่ซากคนที่กำลังอ้อนวอน ...

ทุกค่ำคืนฉันมักจะเหน็บคมมีดไว้ที่ปลายหมอนข้างซ้าย คอยย้ำเตือนสติอยู่เสมอ บาดแผลแห่งการชะล้างและการย้ำเตือนว่า นี่เป็นเรื่องจริง หรือ ฉันกำลังฝันร้ายกันแน่..?? แม้ว่าทุกครั้งแห่งรุ่งอรุณวันใหม่ จะทักทายด้วยคราบน้ำตา และปลอบปโลมฉันด้วยความว่างเปล่า...ความเงียบไร้ซึ่งผู้คน จะเป็นสิ่งที่ฉันปราถนามากที่สุด..

วันใหม่ที่หม่นหมอง..
วันใหม่ที่เงียบสงัด..
วันใหม่ที่มีแค่ฉัน..
และ วันใหม่..ที่ฉันเฝ้ารอ ..The day is depressive without disorder..

..ณ ตอนนี้ อยากจะขอบคุณเธออีกครั้ง ที่ในรอยยิ้ม และใบหน้า กับความรู้สึก จะช่วยเยียวยา มันได้.. และบางครั้ง ที่หันไปมองคมมีด ก็จะมีมือของเธอรั้งมันเอาไว้เสมอ..My keerati

บทความ DiaryOfDarkness(Old Book) P.1


 http://darkchrisma.diaryclub.com/images/20100926_Bloodd%20(124).jpg

Today’s Cold Suicide


วันนี้เป็น หนึ่งวันที่หนาวเหน็บ หนาวมาทั้ง 3 เดือนตลอดที่ผ่านมาหนาวจนจับขั้วหัวใจแต่ทว่าภาพในอดีตหวนคืนกลับมายัดเยียดภาพคนรักในวันเก่าทั้ง ๆ ที่ ฉันได้ หนีผ่านมันออกมาแล้วไม่อยากกลับไปหามันอีกหนีทุกสิ่ง ทิ้งทุกอย่างที่เรียกว่าความทรงจำที่เจ็บปวด และสิ่งที่ได้ เคยทำดีมาตลอดแต่ทว่ามันไม่อาจจะลบเลือนแผลในใจที่ฝังลึกที่เจ็บปวดนั้นได้มันคอยตามมาหลอก หลอนวน ไป วน มา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เฉกเช่นความตาย ที่ กล้ำกลืนมิอาจหนี….เธอ ผู้เป็นที่รักและศรัทธา..บัดนี้ได้กลายเป็น อื่นไปเสียแล้วฉันมันงี่เง่าเองที่ทุ่มเทความรักและสิ่งที่ดี ๆ ให้กับเธอไปหมดทั้งหัวใจลงไปอย่างนั้น….แต่ทว่า เธอทำให้ฉันได้รู้ว่าโลกนี้ ไม่ได้มีเพียงด้านที่เรียกว่าสวยงามเพียงอย่างเดียว….มันได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ทำให้พบตัวตนที่แท้จริงของฉันอีกคนขึ้นมา….และพร้อมที่จะทำลายล้าง เดินหน้าเข้าหาความตาย ทลายทุกอย่างให้เป็นจุล….ความโกรธแค้นและความอาฆาตของฉันนั้นยังคงอยู่เพียงแต่มันไม่ค่อยได้ออกมาก็เท่านั้นฉันร้องให้ในใจแทบทุกคืน เมื่อนึกถึงภาพ วันเก่า ๆและแผลในใจอันเจ็บปวดที่ผ่านมา….ฉัน นอนกรีดแขนตัวเองอย่างช้า ๆ จ้องมองซาตานที่คุ้นเคยในจิตใจฉันเบื้องลึกสุด หนาวเหน็บ ฉัน ยังคงอยู่ในนั้นและ ไม่มีวันได้ออกมาสัมผัสโลกที่บริสุทธิ์อีกต่อไป….ความเจ็บปวดมันไม่เคยเข้าถึงจิตใจฉันแม้แต่น้อย….เพียงแต่ทำให้มันพ้นไปวัน ๆเพื่อ ระบายสิ่งที่เรียกว่าความเจ็บปวด นั้น นี่คือโลกของความรักใช่ใหม เธอตอบฉันสิ….ที่ฉันทุ่มเทลงไปเพราะสิ่งนี้ใช่ใหม ที่เธอตอบแทนกลับมา….เธอคงไม่รู้อะไรเลยว่าความรักเป็นอย่างไรนับวันมันยิ่งทวีคูณกลับมาเป็นความเจ็บปวดที่ยากจะลืมเลือนและมันคงจะเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ตราบจนวันตาย…..ดูต้นไม้นั้นซิ….มัน กำลัง ยืนเหี่ยว ร่วงโรย รอวันตาย ไปอย่างเงียบ ๆ เพราะไม่มีใครดูและเอาใจใส่มันเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ มันให้คือความสำราญแก่ เธอ แต่ เมื่อเธอ เบื่อเธอก็ทิ้งมันไป โดยไม่ใยดี…..เช่นความรัก….

ตอนที่ 2.โลกสีหม่น ของคนดนตรี (ผู้เขียน ธิติ มีแต้ม)

 

ข้อความข้างต้น คือส่วนหนึ่งในโปสเตอร์ที่เอกเพื่อนของผมโยนให้ดูแล้วถามว่า “มึงจะไปไหม” ผมกวาดตาเล็งแลโปสเตอร์ที่อยู่ในมือ นอกจากข้อความที่ว่ามา ยังมีชื่อวงดนตรีเขียนเป็นภาษาอังกฤษ ตัวหนังสือออกแบบอย่างประณีตบรรจง แลดูคล้ายประกอบขึ้นจากหยดเลือดกับหนามอันแหลมคม นอกจากนั้นยังมีภาพไม้กางเขนและดาวกลับหัว มีศีรษะพระเยซูที่ถูกตัดอยู่ตรงกลางภาพดาวกลับหัวนั้นด้วย ที่สะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นภาพปีศาจตัวสีแดงลักษณะครึ่งคนครึ่งสัตว์ยืนแยกเขี้ยว บนหัวมีเขาโง้งแหลม มีปีกคล้ายปีกค้างคาวแต่ใหญ่กว่าหลายเท่า มือขวาถือขวานสองคม มือซ้ายถือศีรษะพระเยซูที่ถูกตัดออก

“ลูซิเฟอร์ไง” ไอ้เอกบอกเมื่อเห็นคิ้วผมขมวด

“อ๋อ…ซาตาน” นึกในใจว่าเคยเห็นในภาพยนตร์อยู่บ่อยๆ ผมก้มลงอ่านรายละเอียดในโปสเตอร์นั้นอีกครั้ง ลังเลอยู่ชั่วครู่เพราะไม่แน่ใจว่ามันคืองานอะไรกันแน่ มีอยู่จริงหรือ ก่อนตอบตกลงว่าไป
…………………………………………………………..

ก่อนนี้ดนตรีที่เราฟังหรือได้ยินบ่อยๆ มักจะเป็นพ็อปหรือร็อกทั่วไป เบาบ้างหนักบ้าง มีแดนซ์กับหมอลำปะปนพอครึกครื้น ให้ได้ส่ายเอวกันตามประสา

เปรียบไปแล้ว การฟังดนตรีตามกระแสที่มีให้ได้ยินกันอยู่ทั่วไปก็คงเหมือนเดินอยู่ในเมืองที่มีเรื่องราวแสนจะธรรมดา ทั้งเรื่องรัก อกหัก หรือให้กำลังใจ มีอยู่แค่นั้น แต่ทันทีที่ดนตรีซึ่งวงการเพลงใต้ดินเรียกกันว่า เมทัล (Metal) กระแทกเข้ามาในโสตประสาท ก็ราวกับว่าเมืองทั้งเมืองที่เดินอยู่ดีๆ เมื่อครู่ตกอยู่ท่ามกลางสงคราม เสียงกีตาร์ไฟฟ้าคล้ายเสียงร้องโหยหวนของคนที่วิ่งหนีกลัวตาย เสียงกลองที่ดังรัวเร็วเหมือนปืนกลที่ยิงสาดไม่ขาดสาย

“เพลงอะไรน่ะ ฟังไม่เห็นรู้เรื่องเลย ปวดหัว อ้วกจะแตก” เพื่อนผู้หญิงข้างๆ ผมคนหนึ่งบ่นหลังจากที่ไอ้เอกเปิดเพลง “พันธุ์” นั้นให้ฟัง

“ปิดเถอะ หรือไม่ก็กลับไปฟังที่บ้านเถอะนะ” เธอคนเดิมขอร้อง

วันงานคอนเสิร์ต

บ่ายสามโมงตรง ผมกับเพื่อนมายืนอยู่หน้า “The Rock Pub” บนถนนราชเทวี ข้างสะพานหัวช้าง แดดไม่ร้อนเท่าไรเพราะฝนเพิ่งจะหยุดตกได้ไม่เกิน ๑๐ นาที ด้านหน้าผับเต็มแน่นไปด้วยบรรดาสาวกซาตาน (เขาเรียกกันอย่างนั้น) ประเมินคร่าวๆ ราว ๒๐๐ คน มีทั้งหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่นั่งกันเป็นกลุ่มๆ เพื่อรอเข้าสู่คอนเสิร์ต

ภาพที่เห็นทำให้อดนึกในใจไม่ได้ว่าผมมาอยู่ผิดที่ผิดทางหรือเปล่า เพราะบรรดาสาวกต่างสวมใส่เสื้อผ้าสีดำทั้งชุด บนอกเสื้อมีภาพไม้กางเขนและดาวกลับหัว แค่นั้นไม่พอ บางคนยังทาเล็บและทาตาเป็นสีดำ ใส่ท็อปบูตเหมือนทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยิ่งกว่านั้นบางคนยังมีโซ่เส้นใหญ่พาดหน้าอก พร้อมตับกระสุนปืนกลหัวแหลมคาดเป็นเข็มขัด ผมหันไปดูเพื่อน มันก็แต่งชุดดำเหมือนกัน เพียงแต่ไม่มีอุปกรณ์อะไรอย่างที่ว่ามานั้น มีแค่สร้อยรูปหัวกะโหลกแขวนคออยู่อย่างเดียว ส่วนตัวผมแตกต่างที่สุดแล้วเพราะใส่กางเกงยีนกับเสื้อยืดสีน้ำเงินธรรมดาๆ

ไม่ถึง ๕ นาที บรรดาสาวกต่างลุกจากที่นั่งเข้าคิวส่งตั๋วให้ผู้ชายตัวใหญ่เหมือนนักมวยปล้ำที่ยืนรับตั๋วอยู่หน้าประตูทางเข้า ผมกับเพื่อนจึงลุกขึ้นเดินไปเข้าคิวตามคนอื่นๆ

ภายในงาน นอกจากจะมีแสงไฟที่ติดๆ ดับๆ กับบรรดาสาวกที่ยืนเบียดกันแน่นแล้ว ยังมีเวทีเล็กๆ กับเครื่องดนตรีอย่าง กลองชุด กีตาร์ และกีตาร์เบส วางอยู่ ด้านบนมีป้ายผ้าผืนใหญ่ติดอยู่ เขียนคำว่า Beheading ที่แปลว่าการตัดคอนั่นเอง

เสียงใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นว่า “เซอร์เรนเดอร์ ออฟ ดิวีนิตี้” (Surrender of Divinity) ไม่ถึงนาทีก็มีชายสามคนเดินออกมาจากข้างเวทีพร้อมกับเสียงเฮของบรรดาสาวก ทั้งสามคนใส่ชุดดำและมีตับกระสุนปืนพาดตัวไว้ ทาหน้าเป็นสีขาวทั้งหน้า ทาปากดำ ดูเหมือนแวมไพร์อย่างไรอย่างนั้น

“Hi my dominion fuck religion” เสียงสบถสำรากอันบาดหูของมือเบสและนักร้องนำที่ขนานนามกันว่า อเวจี ปลุกเร้าเหล่าสาวกให้ร้องรับอย่างโหยหวน พร้อมยกมือทำสัญลักษณ์ดวงตาปีศาจคล้ายสัญลักษณ์แฟนพันธุ์แท้ และแล้วดนตรีที่มีกลิ่นอายสงครามและความตายก็เริ่มปะทุขึ้น สาวกทั้งหมดพากันโยกหัวชนิดไม่กลัวว่าจะหลุดจากบ่า ด้านหน้าเวที สาวกอีกจำนวนหนึ่งกระโดดกระแทกใส่กันอย่างรุนแรง มีบางคนขึ้นไปยืนบนเวทีแล้วชูมือส่งสัญญาณบอกเพื่อนที่อยู่ด้านล่าง ก่อนจะโยนตัวลงมาให้เพื่อนๆ รับแล้วแบกส่งต่อๆ กันไปทั่วงาน ใครตัวเล็กหน่อยก็อยู่ข้างบนได้นานหน่อย ใครที่ตัวใหญ่ขึ้นได้ไม่ทันไรก็ต้องหล่นลงมาเพราะเพื่อนที่อยู่ด้านล่างแบกไม่ไหว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาหมดสนุกแต่อย่างใด ยังคงเมามันอย่างบ้าคลั่ง !!!

บางอย่างที่คนนอกไม่รู้เกี่ยวกับ “สาวก”

“มันเป็นความพอใจส่วนตัว”

คือคำตอบสั้นๆ ที่สันต์ หนุ่มวัย ๒๘ ปีผู้อยู่ในคอนเสิร์ต บอกกับผมหลังดนตรีเลิก แต่มิใช่แค่นั้น ! ความอัดอั้นตันใจของเขาที่ถ่ายทอดผ่านถ้อยคำบอกเล่าที่พรั่งพรูออกมาทำให้ผมเริ่มเข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องหันเข้าหาดนตรีแนวนี้

“ฟังมาเป็นสิบปีแล้ว ตั้งแต่แผ่นเสียงแล้วมาเป็นเทป เมื่อก่อนก็ฟังทั่วไป พ็อป ร็อก พอนานเข้าๆ เราก็สังเกตว่าทำไมเนื้อหาเพลงมันเหมือนเดิม คือมันซ้ำซาก มีแต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ มันยังไม่มีเนื้อหาที่พูดถึงสังคมหรืออะไรที่ต่างออกไป ก็เลยเบื่อ จากนั้นก็เริ่มหันมาฟังแนวที่หนักขึ้น พอมีแนวใต้ดินอย่าง พราย ปฐมพร หรืออย่าง ดอนผีบิน ที่เป็นใต้ดินยุคแรกๆ มาเล่น ลองฟังดูก็รู้สึกว่านี่แหละที่เราต้องการ เนื้อหามันคนละเรื่องกับเพลงทั่วไปเลยนะ อย่างพรายนี่พูดแรงมาก ด่าสังคมกันตรงๆ หรือดอนผีบินก็จะเป็นแนวอนุรักษ์ธรรมชาติหรือปรัชญาไปเลย แล้วดนตรีมันเร้าใจกว่ากัน ฟังแล้วไม่เบื่อ

“ผมว่าเวลาฟังเพลง มันดูออกนะว่าคนทำเพลงให้เราฟัง ใครจริงใจ ใครหน้าเงิน เพลงใต้ดินนี่ไม่มีการเข้าค่ายใหญ่ๆ หรือแม้การโปรโมตทางวิทยุ ทีวี หนังสือพิมพ์ ไม่มีเลย เพราะพวกนายทุนอ้างว่าเพลงมันหนักไป คนฟังน้อย ยอดขายก็น้อย ทำไปก็ขาดทุน ผมเลยไม่ชอบอะไรที่เป็นธุรกิจ เพลงทุกวันนี้ส่วนใหญ่ทำไปเพื่อธุรกิจ”

สันต์เล่าอย่างซีเรียส เขาเงียบไปพักหนึ่ง คนอื่นๆ ยังนั่งสังสรรค์กันอยู่หน้าเดอะร็อกผับ ใกล้โพล้เพล้เต็มที บนถนนราชเทวีการจราจรดูจะยิ่งสาหัส

เขาส่ายหน้าก่อนจะยกเบียร์กระป๋องในมือกรอกลงคอแล้วเล่าต่อว่า

“ผมเบื่อ…เบื่อสังคมที่มีแต่คนใส่หน้ากากเข้าหากัน แล้วไอ้เพลงที่ฟังอยู่นี้มันก็พูดถึงสันดานมนุษย์ตรงๆ สันดานอย่างที่พระเจ้าหรือใครก็ช่วยไม่ได้ และทำนองมันเร้าใจกว่า เราได้ปลดปล่อย

“ส่วนที่ใส่เสื้อผ้ากันแบบนี้มันก็เป็นแค่สัญลักษณ์สื่อถึงกันเท่านั้นว่าเราพวกเดียวกันนะ เป็นธรรมดาที่ต้องมีคนอื่นมองว่าบ้า ผมไม่สนหรอก คนที่ฟังแนวนี้ทุกคนก็ไม่มีใครสนหรอกว่าใครจะมองอย่างไร เออใช่ มันดูน่ากลัวจริง มันดำทั้งชุด มันมีหนามมีอะไรต่ออะไร แต่เราก็ไม่ได้ไปทำความเดือดร้อนให้ใครนี่ แล้วดูไอ้พวกใส่สูทผูกเนกไทเถอะ คิดเหรอว่าแต่งตัวกันดีๆ แบบนั้นแล้วมันจะไม่หลอกลวง คือถ้ามันทำดีจริง แล้วทำไมสังคมทุกวันนี้มันยังอุบาทว์ล่ะ คิดดูแล้วกัน พวกผมก็แค่คนธรรมดาๆ เท่านั้น”

คำพูดของสันต์ทำให้ผมเริ่มเข้าใจบางอย่างขึ้นมารางๆ เป็นไปได้ว่าเพลงที่พวกเขาฟังนั้นมันให้อะไรมากกว่าเพลงในกระแสที่เราฟังๆ กันอยู่ทั่วไป คำพูดของเขาทำให้ผมย้อนนึกถึงบรรยากาศคอนเสิร์ตที่เพิ่งจบลงไป และอดนึกแปลกใจไม่ได้…ดนตรีที่รุนแรงอย่างนั้น ภาพคนดูคอนเสิร์ตกระโดดกระแทกใส่กันแรงๆ แบบนั้น แต่ทำไมถึงไม่มีการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นแม้สักน้อย

ข้อสงสัยนี้กระจ่างขึ้นเมื่อเอฟ เด็กหนุ่มวัย ๑๘ ปี หนึ่งในสาวกผู้คลั่งไคล้บอกว่า

“พวกเรามาฟังเพลง มาดูการโชว์ฝีมือทางดนตรีครับ ไม่ได้จะมาต่อยตีกัน เพลงมันทำให้เราได้ระบายออก มีโยกหัว มีกระแทกกัน มันเป็นการโชว์ความสะใจมากกว่า ใครเจ็บเราก็ช่วยกันดูแล เคยมีเพื่อนผมไหล่หลุด พวกพี่ๆ เขาก็ช่วยกันเอาออกไปนั่งพัก เรื่องทะเลาะวิวาทไม่มี เราไม่มีเรื่องแบบนั้นอยู่ในหัวเลย สนุกกับดนตรีดีกว่า”

มีเจ็บตัวนิดหน่อยแต่ไม่เจ็บใจ นี่คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พวกเขาไม่เคยมีเรื่องแค้นเคืองกันเลย ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าตอนนี้ พวกเขายังคงนั่งเล่นนั่งคุยกันเหมือนพี่เหมือนน้องตามประสาคนคอเดียวกัน

เสร็จธุระ ผมกับเพื่อนก็เรียกแท็กซี่กลับไปพักผ่อนที่หอด้านหลังมหาวิทยาลัย เพราะเหนื่อยและเมื่อยคอเต็มที !!!

เปิดห้องเพื่อน สำรวจความเป็นสาวก

บางที การแสดงออกอย่างที่ผมได้เห็นที่เดอะร็อกผับเมื่อครู่ อาจเป็นเพียงแค่ความมันความสะใจชั่วครู่ชั่วคราว แต่สำหรับเพื่อนผมไม่ใช่แน่

แม้ความเหนื่อยล้ายังคงคุกคาม แต่เมื่อเปิดห้องของเพื่อนเข้าไป ความสงสัยใคร่รู้จากภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็ถ่างตาผมเอาไว้ไม่ให้หลับ ห้องทั้งห้องปิดด้วยกระดาษสีดำมืด แถมดวงไฟที่ทั่วไปจะเป็นหลอดนีออน เพื่อนผมก็จัดการเปลี่ยนเป็นแบบเกลียว พลังแสงแค่ ๔๐ วัตต์ ดูสลัวๆ ชวนสยอง !!!

ผนังด้านหนึ่งมีโปสเตอร์ของวงดนตรีต่างประเทศแปะอยู่ ในภาพเป็นรูปชาย ๕ คนกำลังบูชายัญหญิงสาวเปลือย แต่ผนังอีกด้านนั้นน่าสนใจกว่า ผ้าผืนหนึ่งกว้างยาวประมาณ ๑ เมตร มีรูปดาวและไม้กางเขนกลับหัว ตรงกลางมีรูปศีรษะพระเยซูที่ถูกตัด เหมือนโปสเตอร์คอนเสิร์ตที่ผมไป แม้แต่ภาพสกรีนเซฟเวอร์ในคอมพิวเตอร์ของมันก็ยังเป็นภาพซาตานที่เราเคยเห็นบ่อยๆ

“มึงเป็นไรมากไหมเนี่ย เป็นสาวกด้วยหรือเปล่า” ผมชวนมันคุย

“เอ้า…แล้วเดือดร้อนใครหรือเปล่าล่ะ งั้นพวกที่บ้าดูบอลหรือบ้าวงดีทูบีก็เป็นสาวกเหมือนกันสิ คนเราชอบไม่เหมือนกัน อย่าคิดมาก” มันสวนผมกลับทันที

“นี่ยังน้อย” มันหยิบปกซีดีวงต่างประเทศให้ผมดูแผ่นหนึ่ง ภาพที่เห็นเป็นรูปคนตายด้วยปืนลูกซองที่ยิงกรอกปากตัวเอง

“นักร้องนำฆ่าตัวตาย มือกีตาร์มาเห็น เลยถ่ายลงปกอัลบัมต่อมา” มันบอกผม

ผมนึกในใจว่าไอ้เอกมันจะทำอะไรถึงขนาดนั้นไหม แต่เหมือนมันรู้ว่าผมคิดอะไร มันบอกว่าในไทยอย่างเก่งก็แค่ไม่ศรัทธาศาสนา ไม่ถึงกับเผาโบสถ์เหมือนที่นอร์เวย์หรอก

“ส่วนพระที่ถูกฆ่าตายที่ภาคใต้นั้น คงไม่เกี่ยวกับดนตรีแนวนี้นะ” มันย้ำอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป

การพูดการจาของมันใครมาได้ยินเข้าอาจดูรุนแรง แต่จริงๆ แล้วอารมณ์มันก็ปรกติเหมือนคนทั่วไป บางครั้งผมยังเห็นมันอ่านการ์ตูนขายหัวเราะ ดูไปแล้วเรื่องความคลั่งไคล้ดนตรีของมันนั้นแทบจะมองไม่เห็นเลยด้วยซ้ำถ้าไม่ได้รู้จักกันจริงๆ แต่ที่สังเกตได้อย่างหนึ่งก็คือ โดยปรกติเอกจะไม่เชื่อเรื่องอะไรง่ายๆ แม้แต่ในห้องเรียนมันก็เถียงกับอาจารย์อยู่ออกบ่อย และไม่ใช่เถียงแบบไม่มีเหตุผลด้วย แต่ทำไมเอกถึงหลงใหลไปกับดนตรีแนวนี้ได้ นั่นคือสิ่งที่ผมอยากรู้

“เหมือนเจอผู้หญิงสวย แล้วเราคิดว่าคนนี้ใช่สำหรับเรา อย่างอื่นไม่สนใจแล้ว” เสียงมันลอดออกมาจากประตูห้องน้ำ ทำให้ผมเลิกถาม

สายพันธุ์ “แบล็กเมทัล”

เสียงเพลงจากด้านมืด

ในวงการเพลงใต้ดินนั้น ว่ากันว่าแนวดนตรีมีหลากหลาย แต่สิ่งสำคัญที่มีเหมือนๆ กัน คือเนื้อหาที่สะท้อนความเป็นขบถต่อสังคม ที่แรงที่สุดก็เห็นจะได้แก่ แบล็กเมทัล (Black Metal) ที่มีเนื้อหาต่อต้านศาสนา และในแง่ดนตรีเอง วงการเพลงใต้ดินก็ถือว่าแนวดนตรีแบบแบล็กเมทัลนั้นรุนแรงที่สุดแล้ว จังหวะของมันรัวเร็วราวกับจรวดขีปนาวุธที่ถูกปล่อยออกจากปากกระบอกปืน เสียงร้องแผดคำรามแหลมสูงไม่เหมือนเสียงคน ส่วนดนตรียังมีเสียงของเครื่องดนตรีออร์เคสตร้า เช่น เปียโน ไวโอลิน ผสานอยู่ด้วย แต่คงไม่ได้เล่นแบบบีโทเฟ่นหรือโมสาร์ตแน่นอน เพราะเครื่องดนตรีเหล่านี้จะถูกกระทำแรงๆ เพื่อให้เกิดเสียง ไม่นุ่มนวลเหมือนที่เคยฟัง

ผมโชคดีที่มีโอกาสได้คุยกับคนที่เล่นดนตรีแนวแบล็กเมทัลซึ่งในบ้านเราหาตัวคนเล่นดนตรีแนวนี้ได้ยากเหลือเกิน ก่อนที่จะได้พบกับเขา ผมนึกเอาเองว่านักดนตรีแนวนี้น่าจะเป็นพวกที่มีท่าทีก้าวร้าวรุนแรง แต่เมื่อเจอตัวจริงก็พบว่าไม่ใช่อย่างที่คิดเลย

คนที่ผมได้คุยด้วยนั้นมีความเป็นมิตรมอบให้ตั้งแต่ผมหย่อนก้นลงนั่งแล้ว เขาคือ วาทยกร อติพยัคฆ์ หรือ อาร์ต ชายหนุ่มวัย ๓๒ ปี ร่างสูงใหญ่ไว้เคราหนาทึบ มือกีตาร์วงเซอร์เรนเดอร์ ออฟ ดิวีนิตี้ ที่เล่นในคอนเสิร์ต God Beheading วันนั้น แถมยังเป็นคนจัดงานเองเสียด้วย

“เริ่มแรกของผมก็คือฟังพวกร็อกพวกเฮฟวี่มาตั้งแต่สมัยเรียน ก็ฟังมาเรื่อยแล้วก็ชอบไง ส่วนใหญ่ก็เป็นวงต่างประเทศทั้งนั้น วันหนึ่งอยากเล่นเองเลยชวนเพื่อนตั้งวง”

แล้วทำไมถึงเข้ามาอยู่ในวงการใต้ดินที่เล่นแนวแบล็กเมทัลได้ ?

อาร์ตหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ ก่อนเล่าว่าเขาฟังไล่มาเรื่อยๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงแบล็กเมทัลที่รู้สึกเลยว่ามีเนื้อหาและปรัชญาตรงใจอยู่หลายอย่าง ทำให้เขาเข้าถึงแบล็กเมทัลมากกว่าอย่างอื่น

“แบล็กเมทัลมันเป็นเรื่องของการแอนตี้ศาสนาอะไรพวกนี้ อย่างผม ผมเชื่อว่าศาสนาไม่มีความจำเป็นสำหรับมนุษย์ มันเป็นแค่สิ่งยึดเหนี่ยวทางใจ ซึ่งจริงๆ แล้วผมเชื่อว่ามนุษย์เรายืนอยู่ได้ด้วยตัวเราเอง แก่นของแบล็กเมทัลมันอยู่ตรงนั้นครับ โดยที่ใช้ซาตานเป็นเหมือนกับไอดอล (idol) นำเรา อะไรประมาณนั้น ในแง่เนื้อหาแล้ว เมื่อก่อนจะมีแค่เรื่องซาตาน ปีศาจ ด้านมืด แต่เดี๋ยวนี้มันมีเรื่องการทำลายล้างและอะไรหลายๆ อย่างเพิ่มเข้ามา

“สำหรับผม ผมมองว่าซาตานมีมาก่อนอารยธรรมของทุกที่ เป็นเรื่องนามธรรมมากกว่าแค่จะบอกว่ามีหัวเป็นแพะ แต่งตัวแบบนี้แล้วต้องมากราบไหว้ ผมว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้ายมากกว่า อย่างการทำสงครามกับศาสนา ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อะไรประมาณนั้น

“ถามว่าทำไมต้องแต่งหน้าทาปาก ก็เพราะเราเป็นปีศาจ แบล็กเมทัลมันมีลักษณะแบบอนุรักษนิยม ปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก เหมือนคนสะพายย่ามลากแตะไปกู้เงินธนาคาร คือมันมีกรอบของมันครับ”

แล้วคนนอกที่เขามองมาแล้วไม่ชอบล่ะ ?

อาร์ตบอกว่าคงเพราะความคิดแอนตี้ศาสนานี่แหละที่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้คนไม่ชอบ

“บ้านเราไม่มีใครชอบหรอก เขานับถือศาสนาอยู่ดีๆ ก็ไปด่าเขา แต่จริงๆ แล้วมันมีแนวคิดซ่อนอยู่ คือคุณควรจะเชื่อตัวเองก่อนจะไปเชื่อใคร คนที่ไม่เชื่อเรื่องศาสนา ไม่ได้หมายความว่าเขาเลว บางคนทำการทำงานดีๆ ก็มี ในขณะเดียวกัน พวกที่มีศาสนาแต่ฆ่ากันเอง เป็นพระยังเอากับศพ หั่นศพได้ก็ยังมี

“เรื่องสังคมทุกวันนี้ มันแล้วแต่นะ ผมว่ามันต่างคนต่างอยู่ก็ได้ครับ คือไม่ยุ่งเกี่ยวกันก็ได้ อย่างผมชอบที่จะอยู่วงการนี้ ผมไม่ได้คิดที่จะเอาเงินเอาทอง ผมทำเพราะความชอบ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ชอบวงการนี้ก็ไม่ต้องยุ่งกัน แล้วผมว่ามันตลกที่จะมานั่งเรียกหาความดีความงามอะไรพวกนั้น ผมว่ามันคงไม่มีแล้วละ แต่มันก็ยังอยู่กันได้”

แล้วเรื่องเนื้อหาและท่วงทำนองที่รุนแรง มันจะมีผลกับการใช้ชีวิตด้วยหรือเปล่า ? อาร์ตมองว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น แต่เขาเชื่อว่าคนเราทุกคนมีบางอย่างข้างในที่อยากจะแสดงออก ไม่ว่าจะเป็นพระหรือเป็นใคร มันสามารถที่จะระเบิดได้ทุกคน

“เพียงแต่ว่าเราเอาความรู้สึกตรงนั้นมาทำเป็นดนตรีอย่างนี้ แทนที่เราจะไปฆ่าคนจริงๆ เราหมั่นไส้ใคร รู้สึกแรงๆ กับใคร เราก็เอามาใส่ในดนตรีทำให้มันเป็นศิลปะเสีย เหมือนเราเอาด้านมืดในใจคนมาทำเป็นดนตรีแทน แล้วมันน่าแปลก ดนตรีแนวนี้มันรุนแรงก็จริง แต่ไม่เคยมีความรุนแรงเกิดขึ้นในหมู่พวกเรา เหมือนคนฟังแนวนี้เขารู้กันนะครับ ไอ้พวกที่ตีกันมันไม่ได้ฟังดนตรี มันไม่ได้สนใจว่าเพลงเขาพูดถึงอะไร ก็ตีกันซะ

“ในชีวิตจริงกับในการแสดงดนตรี สำหรับผมมันค่อนข้างจะสวนทางกันนะ ผมมีลูกอายุเพิ่ง ๙ เดือน ผมก็ใช้ชีวิตปรกติครับ มีความรัก มีเสียใจ มีผิดหวัง แต่เวลาผมอยู่บนเวทีผมก็เปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง เป็นคนโชว์งานศิลปะทางดนตรีก็แค่นั้น”

มาถึงเรื่องความคิดต่อต้านศาสนา ผมไม่ลืมที่จะถามว่าอะไรทำให้เขาคิดเช่นนั้น

“มันหลายอย่าง พูดยากครับ มันเป็นความเชื่อส่วนตัว เรื่องศาสนาเรื่องอะไรเนี่ย ในแนวปรัชญาจริงๆ ในเรื่องการละวาง หลุดพ้นอะไรแบบนั้น ผมยังรู้สึกดีกว่า แต่ผมว่าสมัยนี้มันกลายเป็นธุรกิจเกือบหมดแล้วละ มันไม่มีเหตุผลเลยแถมยังถูกยัดเยียดให้ด้วย เคยเจอไหม ที่มีคนมากดกริ่งหน้าบ้านแล้วก็มาท่องไบเบิลให้ฟัง พยายามจะพาเราไปเข้าโบสถ์ให้ได้ มันรบกวนกันมากเกินไป”

มาถึงคำถามสุดท้าย ผมถามเขาว่าแล้วพวกวัยรุ่นที่ฟังเพลงแนวนี้ล่ะ ถ้าเขาเอาความรุนแรงเหล่านี้ไปใช้ในชีวิตจริงจะทำอย่างไร

สิ้นคำถาม ลมวูบใหม่พัดมาเย็นบาดเนื้อ ถ้าเป็นมีดคงเลือดออกไปแล้ว

อาร์ตหยิบบุหรี่มวนที่เท่าไรจำไม่ได้ รู้แต่เขาสูบมวนต่อมวน

“เครียดหรือ ?”

เขายิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถามที่ทิ้งค้างไว้

“ผมต้องถามก่อนว่า ผมต้องรับผิดชอบคนพวกนี้ด้วยหรือเปล่า ถ้าเขาเห็นผมมีอิทธิพลต่อเขามาก ผมก็คงต้องรับผิดชอบ แต่ที่ผ่านมายังไม่มีใครแหกไปทำอะไรไม่ดีนะ ผมว่ามันไม่เกี่ยวหรอกว่าใครจะรุนแรงใครจะเลวเพราะฟังเพลงแบบนี้ เอาเข้าจริงทุกวันนี้มันมีเรื่องเลวร้ายเยอะแยะไป อย่างเด็กผู้หญิงวัยรุ่น ม. ๒-ม. ๓ ไม่ได้ฟังแนวนี้เลยแต่ดันไปขายตัว แบบนั้นก็มี คือมันมีเลวกันได้ทุกเรื่องนะครับผมว่า”

ก่อนที่ผมจะกล่าวขอบคุณเขา อาร์ตก็โพล่งขึ้นมาว่า “นี่ผมจะโดนเขาด่าไหมเนี่ย” เพื่อนที่นั่งฟังอยู่ตั้งแต่ต้นบอกแกมแหย่เล่นว่า “เดี๋ยวก็รู้เองแหละพี่” ส่วนผมได้แต่ยิ้ม

เท่าที่กล่าวมาทั้งหมด จะพอทำให้เข้าใจในความแปลกแยกทางดนตรีและความคิดของพวกเขาได้หรือไม่ ผมคงไม่อาจจะสรุป

แต่ถ้าไม่พอ ยังมีอีกคนที่จะอธิบายเพิ่มได้…

ดนตรีเมทัลกับระดับของความรุนแรง

“ดนตรีก็คือดนตรีครับ ถึงแม้ว่าดนตรีเมทัลจะหนักหน่วงและสื่อถึงด้านมืด ความรุนแรง แต่มันก็มีขอบเขต ไม่ใช่ฟังแล้วต้องไปทุบหัวพ่อแม่ใคร ไม่ได้เอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงกับคุกกับตะรางอย่างไร้เหตุผลหรอก ไอ้ที่นอกเหนือไปกว่านั้นมันอยู่ที่สันดานคน”

ประโยคสั้นๆ นี้มาจากบทความหนึ่งในนิตยสาร มาเนีย (MANIA) นิตยสารว่าด้วยเพลงเมทัลและวงการเพลงใต้ดินในไทยและต่างประเทศ ผู้เขียนใช้นามปากกาว่า “ริน Heretic” ชื่อจริงของเขาคือ นรินทร์ ชาญประณีต ผู้ก่อตั้งวง Heretic Angel วงใต้ดินวงแรกๆ ที่เล่นแนวเมทัลและเขียนวิจารณ์เพลงมากว่า ๑๐ ปี ปัจจุบันเขายังคงคลุกคลีอยู่ในวงการบ้างไม่ถึงกับหายหน้าหายตาไป บทวิเคราะห์ความรุนแรงของดนตรีเมทัลที่เขาเขียนไว้ น่าจะทำให้เราเห็นเบื้องลึกเบื้องหลังของเพลงแนวนี้ขึ้นมาบ้าง

“สื่อทางดนตรีเป็นสื่อทางเลือกหนึ่งที่สามารถมีอิทธิพลชักนำผู้คนได้ โดยเฉพาะเยาวชนที่ยังมองโลกไม่กว้างพอ สังคมโดยมากจึงมองว่าดนตรีที่เล่นกันหนักหน่วง มีเนื้อหารุนแรง ไม่มีอะไรน่าพิสมัยในดนตรีประเภทนี้ มีแต่ความเคียดแค้น ก้าวร้าว สื่อบางส่วนตั้งเป้ามองดนตรีประเภทนี้เป็นแรงกระตุ้นของความรุนแรงในครอบครัวและสังคม”

จริงเท็จแค่ไหน นรินทร์จำแนกไว้อย่างนี้

เรื่องบุคลิกและอุปนิสัย

“จากการที่ได้พบปะกับขาเมทัลมามากมายหลายชีวิตในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกันระหว่างคนฟังประเภทนี้กับคนที่ไม่ได้ฟัง แน่นอนคนที่ฟังเมทัลมีความบ้าระห่ำมากกว่า แต่ไม่ได้แสดงออกถึงความก้าวร้าวโดยนิสัย ก็มีบ้างซึ่งเป็นส่วนน้อย แต่ไม่มีที่ไปอาละวาด ไล่ฆ่าหรือข่มขืนใครหรอก คนส่วนมากมักมองว่าพวกนี้ดูเถื่อน มีอีโก้สูง แต่คุณลองเข้าไปคุยกับพวกเขาดู จะรู้ว่าพวกเขาก็อยากเป็นมิตรเหมือนคนธรรมดาทั่วไป นี่คือคนฟังดนตรีไม่ใช่ซุ้มมือปืนหรือแก๊งโจร”

เรื่องของเสียงดนตรี

“เสียงกระตุ้นมีผลต่อกิจกรรมและอารมณ์ของมนุษย์ ลองเปิดทีวีหาช่องมวยคู่เด็ดๆ ลองปิดเสียงดูและเปิดเสียงดูเทียบกัน สังเกตได้เลยว่าอรรถรสในการชมมันต่างกันแน่นอน เปิดเสียงก็มันกว่า แล้วมองกลับมาที่ดนตรีเมทัล กว่าจะทำออกมาเป็นเพลงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องใช้ฝีมือและความสามารถมากพอควร แน่นอนอารมณ์มันเกิดแต่คงไม่รุนแรงถึงขนาดเดินไปถีบหน้าใครหรือจุดไฟเผาตัวเองหรอก บางคนได้ยินดนตรีเมทัล โอ๊ย… เดินหนี ปวดหัว หนวกหู รับไม่ได้ แต่นี่เสียงดนตรีนะครับไม่ใช่เครื่อง Jack Hammer ที่กำลังขุดถนนนะ”

เนื้อหา

“มาดูกันที่เนื้อหา เพลงจำพวกนี้ไม่มีเนื้อหาที่พูดกันเรื่องสวยๆ งามๆ หรอก มีแต่เรื่องเซ็กซ์ ฆ่าตัวตาย ฆาตกรรม ความรุนแรงและลัทธิความเชื่อ ผลสรุปจากการทำวิจัยออกมาว่าคนฟังจำเรื่องฆาตกรรมได้มากที่สุด เพราะเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากที่สุด เห็นและรับรู้กันได้จากหน้าหนังสือพิมพ์ทุกวัน แต่ไม่ได้หมายความว่ามาจากการฟังเพลงเมทัลแล้วไปฆ่ากัน นั่นมันมาจากปัญหายาเสพติดหรือปัญหาส่วนตัวมากกว่า คนฟังเมทัลไม่ใช่คนหัวอ่อนนะครับ เชื่อได้เลยว่าหัวแข็งกันทุกคน เพลงมันแค่สะท้อนความจริงออกมาอย่างเปิดเผยและชี้ให้เห็นว่าโลกมนุษย์เป็นยังไง ไม่ได้ทำมาเพื่อล้างสมองใคร”

ความต่างในวงการเดียวกัน

ก่อนหน้านี้ผมนึกว่าวงการเพลงใต้ดินจะคิดเหมือนๆ กัน กระทั่งได้มาเจอกับคนที่มีทัศนคติต่างออกไป

สมศักดิ์ แก้วทิตย์ วัย ๓๖ ปี คนกลางในสามพี่น้องตระกูลแก้วทิตย์ มือกลองแห่งวงดอนผีบิน วงดนตรีเมทัลจากเมืองน่าน วงใต้ดินวงแรกๆ ของเมืองไทย ทั้งยังเป็นวงใต้ดินวงแรกที่มีซีดีขายในต่างประเทศด้วย พร้อมๆ ไปกับการเป็นนักดนตรี พวกเขายังทำงานอนุรักษ์ต้นน้ำลำธาร และได้เสนอปรัชญาบางอย่างผ่านบทเพลงของพวกเขา

สมศักดิ์มองว่าคนที่จะมาฟังเพลงใต้ดินหรือ underground ได้ ต้องผ่านการฟังเพลงทั่วไปมาก่อน แล้วเบื่อ จึงอยากจะฟังอะไรที่มันจริงจังขึ้นบ้าง หนักหน่อย โหดหน่อย ตรงไปตรงมา

“ทุกวันนี้ภาพของ underground ในสายตาของคนทั่วไป คือพวกวิปริต มีแต่พวกโหดๆ ประมาณว่าหน้าปกอัลบัมเป็นผู้หญิงหุ่นดี หน้าเละเทะ นอนแก้ผ้าแล้วเอาเลื่อยเลื่อยหว่างขาตัวเอง สไตล์ฝรั่ง ซึ่งเมื่อก่อนบ้านเราไม่มี วันนี้เราเอาของเขามาเต็มๆ แต่วัฒนธรรมบ้านเรากับฝรั่งมันต่างกัน ผมว่าสักวันตำรวจต้องลงมากวาดล้างแน่ วันนั้นชาวเมทัลตัวจริงอาจจะหนีหัวซุกหัวซุนก็ได้ แต่ก็ภาวนาไม่ให้เป็นเช่นนั้น

“จริงๆ แล้ว underground ไม่ได้หมายถึงพวกโหดอย่างเดียว มีแนวอื่นด้วย ความสวยงามมันมีอยู่ ผมเลยอยากจะหนีจากจุดนี้เหมือนกัน เพราะดนตรีของผมมีความสวยงาม”

ที่เขาว่ามานี้คือทัศนคติที่มีต่อวงการเดียวกัน ส่วนเรื่องการทำดนตรีเขาบอกว่า

“ตั้งใจจะให้เป็นเรื่องราวของชีวิตคนบนเส้นทางฝัน ที่ต้องสู้ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีอะไรที่จะได้มาอย่างง่ายดาย โดยเฉพาะชีวิตที่ยังจมอยู่ในโคลน เมื่อมีความฝันก็ต้องสู้กันยันฉากสุดท้าย ไม่ว่าจะด้วยความอับจน ด้วยโรคภัย สิ่งที่ไม่เป็นไปตามที่มันควรจะเป็น ที่คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นการมองโลกในแง่ร้าย ไม่สวยงาม แต่นรกก็มีจริง มีให้เห็นเป็นประจำ อยู่ที่ว่าจะมองรึเปล่า

“จริงอยู่ที่คนเราควรมองในสิ่งที่สวยงาม แต่ว่าสำหรับเรา เมื่อไปเจอหลายสิ่งหลายอย่างที่เลวร้าย เรากลับไปสนใจในสิ่งนั้นมากกว่า และรู้สึกว่ามันเข้ากับดนตรีของเราได้ดี ถึงแม้จะพูดแต่สิ่งเลวร้ายในชีวิต แต่ในบทเพลงของเราก็แฝงไปด้วยการให้กำลังใจอยู่ลึกๆ ที่จะให้สรรพสิ่งพ้นทุกข์”

ยังมีอีกคนที่แสดงทัศนคติต่างออกไปเช่นกัน เขาชื่อ แบต หรือ ฐิรัตน์ วุฑฒิโกวิทย์ สมาชิกวง Zany Zone วงน้องใหม่ที่เพิ่งจะลงตามรุ่นพี่มาอยู่ใต้ดิน เขาบอกว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นคนฟังหรือทำเพลง อย่าได้เอาอีโก้ในแนวเพลงที่คุณชอบมาเป็นกำแพงแบ่งแยกมิตรภาพของความเป็นเพื่อนที่ชอบดนตรีด้วยกัน ที่สำคัญคุณต้องไม่ดูถูกกันและกัน ด้วยเหตุผลหรืออิทธิพลต่างๆ ที่ได้รับมาจากฝรั่ง

“ถ้าคุณเป็นคนทำเพลง ขอให้ซื่อสัตย์กับตัวคุณเอง และถ้าเป็นไปได้ ในความคิดส่วนตัวผมนะ อยากให้คนทำเพลงมีจิตสำนึกที่ใฝ่สูงหน่อย เพราะเราเป็นมนุษย์”

สิ่งที่แบตฝากไว้ อาจทำให้เห็นว่าเอาเข้าจริงแล้ว ในวงการนี้ไม่ได้มีแค่ดนตรีด้านมืดเสมอไป เขายังต้องการจะทลายกำแพงที่ทำให้คนแตกแยกทางดนตรีลง และเปิดใจรับความต่างให้มากขึ้น

คำถามคือเมื่อไรเล่าที่เพื่อนผู้ชอบเสียงเพลงเหมือนกันจะเข้าใจ

v อดีตคนดนตรีนอกรีต

“ดื่มเลือดจากนมมารร้าย หล่อเลี้ยงอารมณ์ไฟ อารมณ์ที่ไม่เกรงกลัว มหันตภัยใดๆ ร้องกู่ ร้องดังยังฟ้า โกรธแค้นทุกอย่างขวางตา ระเบิดออกมาถึงรากถึงวิญญาณ มันจึงบรรลัย ฆ่ามัน ฆ่ามัน ฆ่ามัน ทำลายมัน ฆ่ามัน…

เราคือตัวตน ที่ปะปนในทุกคน สุขสันต์ยามค่ำคืน พวกเราตื่นพร้อมหน้ากัน อยากทำสิ่งใด ไม่มีใครมาขัดขวาง ท่ามกลางแสงสีนวล ชวนระเริง ดั่งเป็นเพลิงบังเกิดในอุรา ดูหน้าตาทุกคนเปลี่ยนไป เราคือปีศาจ เราคือปีศาจ เราคือปีศาจ…”

ข้างต้นคือส่วนหนึ่งในบทเพลงที่มีชื่อว่า “ปีศาจ” ในอดีต คนแต่งเพลงนี้เคยถูกมองว่าเป็นพวกนอกรีต แต่ในวงการเพลงใต้ดิน คนชื่อ พราย ปฐมพร ยังถูกอ้างถึงอยู่บ่อยๆ ถึงแม้วันนี้เขาจะไม่ได้เล่นดนตรีแล้วก็ตาม แต่บทเพลงของเขาที่มีเนื้อหาค่อนไปในทางขบถ ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้แก่รุ่นน้องที่เพิ่งจะเดินตามรอยมา

วันนี้ดูเหมือนเขาจะสงบลงและเข้าใจอะไรมากขึ้น อาจเป็นเพราะวัยที่ล่วงผ่านมาถึง ๔๔ ปี เขาพูดถึงวัยรุ่นที่สนใจดนตรีว่า

“เด็กรุ่นใหม่ก็ต้องการจะทำอะไรที่ใหม่ ซึ่งความใหม่นั้นมันก็มีผลมาจากตะวันตก ผมเองก็ได้รับอิทธิพลทางดนตรีมาจากตะวันตก เพราะว่าเขาจะมีความคิดด้านดนตรีซับซ้อน แต่ความจริงมันก็ไปตามกระแสตลอด ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้ แต่ว่าอย่างน้อยๆ คนซึ่งอาจจะทั้งชีวิตแต่งเพลงออกมาไม่มีใครฟังเลย หรืออาจจะมีคนฟังแค่เพลงเดียว ความรู้สึกของคนที่ทำเพลงเขาก็รู้ว่ามันช่างงดงามเหลือเกิน มันดีมาก อย่างน้อยๆ มันก็ได้พิสูจน์อะไรบางอย่างว่ามันไม่ใช่กระแส มันเป็นบางอย่างที่มีค่ากับตัวเอง

“อย่างเมื่อก่อนผมคิดว่าตัวเองเป็นขยะ ไม่มีใครชอบ มีแต่คนเกลียดด้วย แต่เดี๋ยวนี้พอขยะมันมากเข้าๆ เออ…บางชิ้นมันก็มีค่าสำหรับคนอื่นนะ คือผมเนี่ยไม่ได้คิดว่าตัวเองจะมีค่าขนาดนี้ แต่เขาทำให้ผมรู้สึกว่าผมมีค่ามากขึ้น มันก็เป็นกำลังใจ เพราะฉะนั้นมาถึงวันนี้ สิ่งที่ผมพบก็คือ ศิลปินทุกคนที่ทำงานศิลปะ ไม่ว่าจะแขนงไหนๆ เหตุผลที่เราไม่ประสบความสำเร็จก็เพราะจิตใจเรานั่นเอง คิดแต่ว่าเราแต่งเพลงห่วย ทำอะไรก็มีแต่คนว่าอย่างนั้น เมื่อก่อนผมคิดยังไงก็คิดไม่ออก ทำไมแม่งไม่ฟังเพลงกูวะ ทำไมแม่งเกลียดกูวะ

“วันนี้ จิตใจผมรับรู้ว่าผมทำได้แล้ว ผมผ่านตรงนั้นมาแล้ว ผมตอนนั้นก็เหมือนน้องๆ หลายคนตอนนี้ที่ยังไม่ผ่าน ไม่ผ่านอะไร ไม่ผ่านจิตตัวเองว่าตัวเรามีค่า เขาทำได้แล้วแต่เขายังรู้สึกหดหู่อยู่ เขาไม่ข้ามความเศร้ามา เหมือนเพื่อนผมที่พอเสียคนรักไป มีอย่างเดียวก็คือ กูจะขับรถให้แม่งชนให้แม่งตาย ให้น้ำตากูเป็นสายเลือด ให้โลกจดจำว่าความรักกูนี่ยิ่งใหญ่ แต่มันจะมีค่าอะไรถ้าเราไม่ข้ามตรงนั้น ทีนี้เราจะข้ามตรงนั้นได้ยังไง นี่แหละคือปัญหา เราต้องหาให้เจอ ผมอยากบอกว่า เมื่อเวลาผ่านไปคุณจะหามันเจอได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นนักดนตรี คุณเป็นอะไรก็ได้ คุณสามารถหาเจอได้”
…………………………………………………………..

ถึงแม้คนที่รักในเพลงใต้ดินจะถูกมองว่านอกรีต ป่าเถื่อน หรืออะไรก็ตาม แต่ในความเป็นจริง นี่ก็คืออีกมุมหนึ่งในโลกของดนตรีที่กำลังสื่อสารกับสังคมอย่างตรงไปตรงมา เพียงแต่สังคมส่วนใหญ่นั้นอาจยังขาดความเข้าใจและไม่รู้จักทำใจให้กว้างพอ

หรือแท้จริงแล้ว ด้วยสังคมหรืออะไรก็ตาม ทำให้เราไม่อาจแม้แต่จะทำเช่นนั้นได้ ?

ขอขอบคุณ :

เอกวิทย์ เตระดิษฐ์ วาทยกร อติพยัคฆ์ นรินทร์ ชาญประณีต สมศักดิ์ แก้วทิตย์ ฐิรัตน์ วุฑฒิโกวิทย์ พราย ปฐมพร สันต์ และเอฟ

www.blackmetal.com

ข้อมูลประกอบ :
นิตยสาร MANIA, Metal, Starpics, The Quiet storm
ซีดีเพลง ดอนผีบิน, พราย ปฐมพร, Heretic Angel, Mayhem, Surrender of Divinity, Zany Zone
www.metalthai.com



ขอบคุณที่มา www.sarakadee.com/2007/03/01/metal-music/

†×† ..SoundOfMadness.. †×†

 

ตอนที่ 1.ลัทธิบูชาซาตาน หรือ คริสตศาสนา ความจริงในพระคัมภีร์เกี่ยวกับเรื่องมนตร์ดำ Satanism or Christianity?

เรา มาตั้งคำถามง่ายๆกัน เราควรจะเชื่อในพระเจ้าสูงสุด ผู้ทรงฤทธิ์อำนาจและเป็นศูนย์กลางของความดีทั้งมวลหรือไม่ พระเจ้าองค์ที่ทรงสนพระทัย และทรงห่วงใยทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมากเสียจนยอมประทานพระบุตรของพระองค์ ให้มาเป็นพระผู้ช่วยมนุษยชาติให้รอดจากบาป หรือเราควรจะเชื่อมั่นในพลังเหนือธรรมชาติที่มีที่มาจากความชั่วร้ายและความ มืดมิด อันเป็นพื้นฐานความเชื่อแบบลัทธิ ยังมีความเป็นไปได้อื่นๆเพียงประการเดียวที่ควรแก่การพิจารณา และนั่นคือความเชื่อที่ว่าคนเราสามารถกำหนดชะตาชีวิตตนเองได้ เช่นเดียวกับสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆในโลกได้



แม้ ว่ามนุษย์เราจะพัฒนาตนเองจนก้าวหน้าในโลกเทคนิค หรือบางทีอาจเป็นโลกเทคนิคที่พัฒนามนุษย์เราเสียเอง ความสามารถของมนุษย์ที่จะแก้ไขปัญหาหนึ่งซึ่งคอยทิ่มแทงเราทุกคนอยู่ได้นำพา มนุษย์ไปค้นหาคำตอบในที่อื่นๆ ปัญหาใหญ่ของมนุษย์เราคือชะตากรรมอันหลีกเลี่ยงไม่พ้น ความเจริญที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษครึ่งที่ผ่านมานั้นได้แสดงให้เราเห็นว่า ไม่ได้มีแต่เพียงความตายเท่านั้นที่มนุษย์เราปรารถนาจะกำจัดให้หมดไปจากโลก ยังมีผลของอัตราการตายด้วยที่น่ากังวลไม่แพ้กัน คนสมัยนี้อายุยืนขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ใครบ้างปรารถนาจะอยู่นานขึ้นห้าปีหรือสิบปีหากคุณภาพชีวิตของพวกเขาไม่ ได้ดีขึ้นเลย



เท่าที่ผ่านมา ศาสนาจะมอบโอกาสในการค้นพบคำตอบของปัญหาต่างๆ อันนำมาซึ่งความพึงพอใจ  แต่สังคมในปัจจุบันนี้กลับลดความสำคัญของศาสนาลงอย่างมาก ศาสนากลายเป็นเป้าโจมตีที่นักแสดงตลกนำมาล้อเลียนอยู่เป็นนิตย์ ในขณะที่ฝ่ายผู้นำทางศาสนาแทบจะไม่แสดงปฏิกริยาใดๆเลย ยกเว้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสังคม สถานการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะหลายเหตุผล เหตุผลหลักคือผู้คนมองข้ามอำนาจของพระเจ้าในการแสดงพระองค์ รวมถึงพระประสงค์ของพระองค์ก็ไม่ได้รับการเหลียวแล มนุษย์เราล้มเหลวในการประณามการกระทำ บาปที่ขัดแย้งกับพระบัญญัติของพระเจ้า ความคิดเรื่องการตามใจตนเองได้รับการส่งเสริมโดยทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคเทคโนโลยี ขณะที่หลักการแห่งศาสนากลับถูกถากถางล้อเลียน ไม่น่าเชื่อว่าความเห็นของคาร์ล มาร์กซ์เกี่ยวกับศาสนากลับเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง เขาเรียกมันว่า ฝิ่นของประชาชน   



หากศาสนากลับกลายเป็นสิ่งที่คนเราเข้าไม่ถึง แล้วมันจะอยู่ในสังคมต่อไปได้อย่างไร  บางคนเต็มใจที่จะแยกความเป็นจริงในชีวิตและคำถามที่ยังไม่มีคำตอบออก จากการรับรู้ของเขา พวกเขาใช้ความปรารถนาในสิ่งที่สร้างความเพลิดเพลินใจเป็นเครื่องมือปิดกั้น ตัวเองจากการหาคำตอบเกี่ยวกับชะตาชีวิตของคนเรา แต่คำกล่าวอ้างของผู้ที่เชื่อในลัทธินี้ได้ให้ทางออกจากปัญหาแก่คนอื่นๆด้วย จุดประสงค์ของหนังสือเล่มนี้คือการสำรวจข้อกล่าวอ้างเหล่านี้และเปรียบเทียบ มันกับสิ่งที่อยู่ในพระคัมภีร์  ข้ออ้างเหล่านี้จะมีน้ำหนักขนาดไหนหรือเป็นเพียงแค่สิ่งบันเทิงอีก รูปแบบหนึ่ง เป็นการหลีกหนีจากชีวิตจริง เป็นความต้องการอำนาจเพื่อที่จะเป็นที่ยอมรับของสังคม ความต้องการเหล่านี้ได้กลับกลายเป็นเหมือนยาเสพติดซึ่งต้องเพิ่มปริมาณขึ้น เรื่อยๆและเสพบ่อยครั้งขึ้น



แหล่งที่มาของความน่าเชื่อถือ

เช่นเดียวกันกับคำถามยากๆทั่วไป การจะหาคำตอบนั้น จะพบได้จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือเท่านั้น ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ การนับถือสิ่งต่างๆ และข้อสงสัยเกี่ยวกับการมีชีวิตเป็นอมตะ  มีเพียงแหล่งข้อมูลเดียวที่ได้รับการรับรองผ่านการเวลามาจนถึงปัจจุบัน นั่นก็คือ พระคัมภีร์ ซึ่งเป็นพระคำของพระเจ้า แต่เป็นเรื่องน่าเสียใจที่ถ้อยคำซึ่งเป็นความจริงนี้ แม้จะไม่เคยผิดพลาดเลย แต่คนที่อ้างว่านับถือสิ่งนี้กลับไม่ค่อยแสดงออกถึงพระคำของพระเจ้าอย่างดีเท่าที่ควร ตัวอย่างเช่น คนมากมายอ้างว่าศาสนานั้นไม่ได้ช่วยอะไร แต่หากว่าศาสนาไม่ได้ช่วยอะไรได้จริงๆ ก็คงนำไปสู่ข้อสรุปสองประการ คือ หนึ่ง คำตอบนั้นไม่อาจหาพบได้จากความเชื่อในศาสนา หรือสอง ผู้ที่ดำรงตำแหน่งผู้นำทางศาสนาไม่ได้พยายามชี้แจงคำตอบที่ว่านี้ให้คนได้รู้จัก ไม่มีคำตอบอื่นอีกแล้ว สิ่งนี้เป็นความจริงสำหรับผู้คนที่เชื่อในลัทธิมนตร์ดำด้วยเช่นกัน กล่าวคือ มันอาจช่วยตอบปัญหาที่คาใจพวกเขาได้ หรือ มันเป็นเพียงการเสแสร้งที่คนเราปรุงแต่งขึ้นหรือเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาที่ทำให้คนมาหลงเชื่อ โดยไม่อาจสรุปเป็นอื่นได้อีก



ความหมายต่างๆ 

แต่ความเชื่อในไสยศาสตร์ช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดจากโรคภัยและความตาย ปัญหาประชากรล้นโลกและการลดลงของทรัพยากรธรรมชาติได้จริงหรือ ก่อนอื่นให้เรามาดูคำว่าลัทธิซาตานและสิ่งเหนือธรรมชาติที่อ้างถึงกัน เมื่ออ้างถึงความหมายในพจนานุกรม คำว่า สิ่งเหนือธรรมชาติจะกินความกว้างกว่า เพราะมันหมายถึง ศาสตร์ทุกอย่าง ซึ่งรวมถึงความรู้หรือการใช้สิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ เช่น โหราศาสตร์ พลังวิเศษ หรือเวทมนตร์คาถา ลัทธิซาตานกลับมีความหมายที่เฉพาะเจาะจงมากกว่านั้น และถูกใช้เพื่อกล่าวถึงการบูชาซาตาน ผู้ซึ่งถูกมองว่าเป็นวิญญาณชั่วที่มีอำนาจสูงสุดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น



ด้วยความที่เราไม่ต้องการจะกล่าวถึงรายละเอียดของลัทธิดังกล่าวมากนัก เพราะเราปรารถนาเพียงแค่จะตรวจสอบคำกล่าวอ้างที่ผู้นิยมลัทธิดังกล่าวว่าไว้ รากศัพท์ของคำว่า เวทมนตร์คาถา” (occult) นั้น น่าสนใจและมีความสำคัญต่อการตรวจสอบของเรา มันมีที่มาจากคำในภาษา ลาติน ที่หมายถึง หลบซ่อนดังนั้นการเรียนหรือความรู้เรื่องที่เหนือธรรมชาติ รวมทั้งเวทมนตร์จึงเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ถูกเก็บเป็นความลับหรือถูกซ่อนไว้ ปกคลุมด้วยความมืดดำหรืออยู่ลึกล้ำเกินกว่าความรู้ทั่วไป เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ถูกเก็บซ่อนไว้หรือไม่ก็เป็นความลับ บางครั้งการใช้เวทมนตร์จึงถูกเรียกว่า ศาสตร์มืด  



ดังนั้น คำต่างๆที่กล่าวถึงข้างต้น จึงเกี่ยวข้องกับความเชื่อและการปฏิบัติที่แตกต่างกันมากมาย และคำอธิบายใดๆก็ตามคงไม่อาจรวมความหมายทั้งหมดเอาไว้ได้ ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เชื่อเรื่องเวทมนตร์คาถาจะเชื่อทุกสิ่งที่กำลังจะกล่าวถึงต่อไปนี้ นี่เป็นเพียงความพยายามที่จะแสดงให้เห็นว่าความเชื่อในเวทมนตร์คาถาประกอบด้วยอะไรบ้าง



ความ เชื่อหลักคือความเชื่อในอำนาจอันแรงกล้าของความชั่วร้าย บ่อยครั้งที่สิ่งนี้ถูกมองว่ามีตัวตน คือ มีทั้งที่อยู่ในรูปของปีศาจซึ่งเราเรียกกันว่า ซาตาน ลูซีเฟอร์ หรือมารร้าย ส่วนอีกรูปหนึ่งคือ มาในรูปลำดับชั้นการปกครองของวิญญาณร้ายที่คอยควบคุมกระแสโลกและผู้คนอยู่ อย่างลับๆ เพราะว่าเป็นอำนาจอันยิ่งใหญ่ในโลก คนจึงต้องเชื่อฟังหรือยอมตาม หากขัดขืนจะนำภัยพิบัติมาสู่ตน คำเตือนอันน่าสะพรึงกลัวยังรอคอยผู้ที่ต่อต้านมันอยู่ การบูชาปีศาจโดยพวกที่นับถือลัทธิซาตานได้ถูกนำมาเปรียบเทียบกับการนมัสการ พระเจ้า ซึ่งเราจะเห็นว่าการเทียบเคียงดังกล่าวไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก พระเจ้าไม่ทรงประสงค์การเอาใจเพื่อหยุดยั้งพระองค์จากการพิพากษาโลกที่เต็ม ไปด้วยความผิด ขณะที่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับโลกของศาสตร์มืดและเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติที่ ชั่วร้ายจะคิดตรงกันข้ามกับข้างต้น พวกเขาใช้วิธีการต่างๆเพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขา เป็นหนึ่งเดียว กับพลังชั่วร้ายนั้น ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าจะช่วยให้พวกเขาสมหวังและจะไม่คอยทำลายพวกเขา



พิธีในลัทธิเหล่านี้กลับมีลักษณะบางอย่างที่คล้ายกับพิธีในศาสนาจนน่าตกใจ อย่างน้อยเมื่อมองดูจากภายนอก ศูนย์กลางของชีวิตทางศาสนาของผู้ศรัทธาในพระคริสต์ คือ การรับประทานขนมปังในพิธีศีลมหาสนิท ที่พวกเขาจะนำขนมปังและไวน์มารับประทานร่วมกัน ของทั้งสองอย่างเป็นสัญลักษณ์ของพระกายและพระโลหิตของพระคริสต์   จุดมุ่งหมายของพิธีนี้คือเพื่อเป็นการระลึกถึงชัยชนะเหนือความบาปและความตาย ผู้เชื่อในลัทธิบูชาซาตานจะประกอบพิธีคล้ายๆกันนี้ ซึ่งเลือดจริงๆจะถูกสังเวยและดื่มกินเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของ การเป็นสาวกซึ่งจะคงอยู่ระหว่างคนในกลุ่มที่มีความเกี่ยวข้องกับพลังอำนาจชั่วร้าย เลือดนั้นจะต้องเป็นเลือดที่ได้จาก เครื่องสังเวยที่ยังมีลมหายใจเท่านั้น



การเปรียบเทียบกับการนมัสการในทางศาสนา  

ดังเช่นที่การสังเวยและพิธีกรรมในลัทธิมีความคล้ายคลึงการปฏิบัติทางศาสนามากๆ  ความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติและในอำนาจของปีศาจได้กลายมาเป็นศาสนาเสียเอง คือ เป็นการนมัสการสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์  แต่ แทนที่จะนมัสการพระเจ้าแห่งความดี สิ่งที่เหนือธรรมชาติในลัทธินี้กลับชั่วร้ายอย่างที่สุด เพราะสิ่งที่ผู้เชื่อทั้งสองกลุ่มศรัทธามีความแตกต่างกันอย่างลิบลับ สิ่งนี้จึงทำให้คนทั้งสองกลุ่มแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงด้วย ความเชื่อในพระเจ้าผู้ซึ่งทรงห่วงใยมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างและชีวิตนิ รันดร์ของพวกเขานั้น ทำให้เกิดความรัก ความเชื่อใจกันและความมั่นใจในตัวผู้ที่นมัสการพระองค์ ตรงกันข้าม การบูชาอำนาจชั่วร้ายนั้นมีที่มาจากความกกลัว คือกลัวว่าผลร้ายจะเกิดกับตนหากไม่ยกย่องนับถือสิ่งนั้นมากเพียงพอ เป็นความกลัวที่จะถูกลงโทษซึ่งจะบังเกิดกับทุกคนที่ปฏิเสธการมีอยู่ของอำนาจ นั้น



บาง ครั้งก็เชื่อกันว่าความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาตินั้นสอดคล้องกับความเชื่อใน พระเจ้าผู้ทรงสร้างโลกและผู้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาช่วยไถ่บาปแก่มนุษย์ ทั้งมวล ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า มีอำนาจแห่งความดีและความชั่วอยู่ มนุษย์จะต้องเลือกเอาเพียงอย่างเดียว แม้กระทั่งผู้ที่อ้างว่านมัสการพระเจ้าเท่านั้นก็ยังรู้จักอำนาจชั่วร้ายนี้ ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าถูกส่งผ่านมา พวกเขายังเชื่อด้วยว่ามีวิญญาณร้ายที่เข้าสิงคนบริสุทธิ์ได้โดยที่พวกเขาไม่ ยินดี และวิญญาณเหล่านั้นต้องถูกขับออกไปผ่านพิธีที่เรียกว่า การขับผี เพื่อที่คนเหล่านั้นจะสามารถกลับมารับใช้พระเจ้าได้อย่างเต็มใจอีกครั้ง ดังนั้นเราจึงต้องหาคำตอบของปัญหาต่อไปนี้กัน



มีพระหรือเทพผู้ทรงอำนาจสูงสุดมากกว่าหนึ่งองค์หรือเปล่า  

การสืบหาข้อมูลของเรามีพื้นฐานอันแน่นอน และเราต้องการความมั่นใจในคำตอบของเรา   หากไม่พิจารณาหลักฐานอื่นใดเลย จะเห็นได้ชัดว่าการหาคำตอบจะมาจากการพิจารณาคำถามนี้อย่างละเอียดเท่านั้น กล่าวคือ หากทั้งสองฝ่ายไม่มีการแบ่งอำนาจไปฝ่ายละเท่าๆกัน ก็จะมีเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้นที่จะมีอำนาจสูงสุด เพราะโลกนี้ไม่อาจมีที่หนึ่งได้สองคน กระนั้นหลายคนก็เชื่อว่าการต่อสู้กันระหว่างสองขั้วอำนาจได้ดำเนินมานานตลอดชั่วประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ระหว่างพระเจ้าแห่งความสว่างและอำนาจแห่งความมืด แนวคิดนี้ปรากฏอยู่ในหลายๆศาสนาและธรรมเนียมในทุกทวีปในทุกยุคสมัย แนวคิดนี้เป็นที่นิยมกันมากจนหลายๆความเชื่อได้บรรจุความคิดนี้ไว้เป็นส่วนหนึ่งของปรัชญาด้วย แต่การคงอยู่ของความเชื่อนี้ แม้แต่ความเก่าแก่และขอบเขตของความเชื่อก็ไม่อาจนำมาใช้เพื่อพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับแนวความคิดนี้ได้ ประเด็นนี้ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องหาคำตอบและตรวจสอบต่อไป



สาวก ของลัทธินี้อาจจะอ้างว่าเชื่อในการต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่ว แต่ด้วยการที่พวกเขาบูชาอำนาจชั่วเหนือธรรมชาตินั้น พวกเขาเลือกที่จะให้ความชั่วเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวสำหรับพวกเขา ไม่ใช่ความดี หรือการที่โลกนี้มีสองสิ่งที่แบ่งอำนาจกันคนละครึ่งอย่างเท่าเทียม เมื่อใช้พระคัมภีร์เป็นเครื่องตรวจสอบ เราจะเห็นว่าพระคัมภีร์ไม่ยอมให้เกิดช่องว่างสำหรับแนวความคิดนี้ แต่กลับพาเราไปพบกับข้อความที่เรียบง่ายตรงไปตรงมาในพระธรรมเดิมและถูกตอก ย้ำอีกครั้งโดยพระเยซูคริสตเจ้าในพระธรรมใหม่ซึ่งปฏิเสธแนวคิดเรื่องการแข่ง ขันระหว่างอำนาจของพระเจ้าแห่งความดีกับมารร้าย เมื่อพระองค์ถูกซักถามว่าพระบัญญัติใดที่สำคัญที่สุดในกฏหมายของชาวยิว พระเยซูทรงเริ่มต้นโดยกล่าวว่า



ธรรมบัญญัติเอกนั้นคือว่า โอ พระเจ้าของเราทั้งหลายทรงเป็นพระเจ้าเดียว

(มาระโก 12:29)



พระบัญญัติที่พระองค์ทรงกล่าวถึงยังมีต่อไปด้วยว่าพระเจ้าไม่ทรงมีคู่แข่ง กล่าวคือ อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา(อพยพ 20:3) ไม่ใช่ว่าพระเจ้าทรงเกรงกลัวต่ออำนาจของพระอื่นๆและขอร้องลูกๆของพระองค์ให้ติดตามแต่พระองค์ เพราะพระองค์ทรงเรียกเทพเหล่านั้นว่า มิใช่พระ(เช่นอิสยาห์ 37:19) แท้ที่จริงแล้วพระองค์กำลังสอนคนของพระองค์ว่าพวกเขาควรจะนมัสการพระองค์แบบหมดใจเพราะว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกแล้ว ไม่มีพระอื่นใดที่มีอำนาจสูงสุดซึ่งปรารถนาการอุทิศตนแบบหมดใจจากมนุษย์เช่นนี้ การหันไปนมัสการสิ่งอื่นใดกลับจะเป็นการปฏิเสธอำนาจและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าแท้ ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดแต่องค์เดียว พระผู้ทรงเป็น พระเจ้าแห่งสวรรค์และแผ่นดินโลกเช่นที่อัครสาวกเปาโลได้บรรยายไว้ให้พวกนักปรัชญาชาวกรีกซึ่งเชื่อในการปกป้องโดยเหล่าเทพเจ้า ซึ่งเป็นเทพเจ้าที่ชอบแก่งแย่งชิงดีกันเพื่อให้มนุษย์หันมาบูชาตนแทน (กิจการ17:24)



คำเตือนมิให้เข้าไปเกี่ยวข้อง

ด้วยการอยู่อย่างเคารพหลักการสำคัญเรื่องอำนาจของพระเจ้าสูงสุดนี้ พระองค์ทรงห้ามชนชาติอิสราเอลไว้ พระองค์ทรงเลือกเหล่าพยานไว้ในท่ามกลางชนชาติทั้งหลายในโลก ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้ที่ลุ่มหลงลัทธิต่างๆและการบูชาซาตาน

เมื่อท่านทั้งหลายเข้าไปในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน ท่านอย่าเรียนรู้ที่จะกระทำสิ่งพึงรังเกียจตามประชาชาติเหล่านั้น อย่าให้มีคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านซึ่งให้บุตรชายหรือบุตรหญิงของเขาลุยไฟ   อย่าให้ผู้ใดเป็นคนทำนาย  เป็นหมอดู  เป็นหมอจับยามดูเหตุการณ์  หรือเป็นนักวิทยาคม เป็นหมอผี  เป็นคนทรง  เป็นพ่อมด  แม่มด  หรือเป็นหมอพราย ผู้ใดที่กระทำอย่างนี้ย่อมเป็นที่รังเกียจแด่พระเจ้า เพราะกระทำสิ่งพึงรังเกียจเหล่านี้  พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายจึงทรงขับไล่เขาเสียจากท่าน ท่านทั้งหลายจงเป็นคนปราศจากตำหนิต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน เพราะว่าประชาชาติเหล่านี้  ซึ่งท่านกำลังจะไปขับไล่นั้นเชื่อฟังหมอดูและคนทำนาย  แต่ส่วนตัวท่านนั้นพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านไม่ทรงยินยอมให้ท่านกระทำเช่นนั้น (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:9-14)



ในเนื้อหาสำคัญนี้มีกิจกรรมหลายอย่างที่ได้ยกมาประกอบ ทั้งหมดนั้นล้วนตรงข้ามกับการนมัสการพระเจ้าทั้งสิ้น พวกมันมีลักษณะบางอย่างร่วมกัน นั่นคือ การปฏิเสธอำนาจของพระเจ้าสูงสุดผู้สร้างทุกสิ่ง การกระทำที่นับได้ว่าน่ารังเกียจน่าขยะแขยงที่สุด คงหนีไม่พ้นรายการที่อยู่ต้นๆ อันได้แก่ การเอาบุตรของตนเผาไฟเพื่อเป็นเครื่องสังเวย มีแต่จิตใจที่ต่ำทรามที่สุดเท่านั้นจึงสามารถจินตนาการเรื่องอย่างนี้ได้ และมีแต่คนที่ผิดปกติและหมดหนทางเท่านั้นจึงจะทำการนี้ได้ แต่ถึงกระนั้นหากเราจะเชื่อสิ่งที่รายงานมานี้ การสังเวยเด็กไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏแต่ในหนังสือประวัติศาสตร์เท่านั้น ยังมีคนบางกลุ่มที่กระทำสิ่งนี้อยู่ในปัจจุบัน มีรายงานบางกระแสกล่าวว่าเหตุการณ์แบบนี้กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นด้วย



และเมื่อเราพิจารณารายการที่เหลือ เราต้องยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปรากฏการณ์ที่ทันสมัยมาก เราพบสิ่งเหล่านี้ได้ในโลกสมัยใหม่ ไม่เพียงแต่ลัทธิวูดูเท่านั้นที่ยังมีคนนับถืออยู่ในแถบแคริบเบียน หมอเวทมนตร์ยังคงแสดงอำนาจอันน่ากลัวในหลายประเทศในแถบอาฟริกา ข้อความจากพระคัมภีร์ที่ปรากฏในย่อหน้าก่อนหน้านี้แสดงถึงพิธีกรรมหลายอย่างที่ยังคงทำกันอยู่ในหลายประเทศในโลกตะวันตก ซึ่งล้วนแต่เป็นประเทศที่ภูมิใจในความเจริญและความเป็นอิสระจากความเชื่อที่งมงายล้าสมัย นี่เป็นยุคแห่งความอดทนเพราะทุกคนสามารถทำสิ่งใดก็ได้ตามใจปรารถนา เงื่อนไขเช่นนี้ทำให้การควบคุมปรากฏการณ์ที่น่าตกใจเช่นนี้เป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ



หลังจากกล่าวถึงการสังเวยเด็ก เรื่องราวในพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติได้กล่าวถึงสิ่งต่อไปนี้

คนทำนาย กล่าวถึงการใช้เวทมนตร์ เพื่อเปลี่ยนหรือมีอิทธิพลเหนือชะตาของผู้อื่น



หมอดู พยายามที่จะค้นหาเหตุการณ์ที่ไม่มีผู้ใดรู้หรือเหตุการณ์ในอนาคตด้วยวิธีเหนือธรรมชาติ โดยการใช้อำนาจที่เชื่อว่าสามารถควบคุมอนาคตของคนอื่นได้



หมอจับยามดูเหตุการณ์ เป็นที่รู้จักกันดี ว่าสนใจการทำนายทางโหราศาสตร์ หรือการอ่านชะตาจากดวงดาว



นักวิทยาคม ใช้หลากหลายวิธีในการสาปแช่ง และลวงสาวกให้หลงศรัทธา พวกเขาจะอ้างว่ามีอำนาจพิเศษ ผู้ที่ร่ายมนตร์ใส่ผู้อื่นจะถูกเรียกว่าแม่มดหรือพ่อมด



หมอผี อ้างตัวว่าสามารถรับส่งข้อความระหว่างโลกของคนเป็นและคนตายได้



คนทรง  มีความเกี่ยวข้องกับสารจากคนตาย พวกเขาจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับพิธีเข้าทรง การดูไพ่ทำนายอนาคต ผีถ้วยแก้วและการเขียนตามผีบอก



หมอพราย  สาวกส่วนมากจะเชื่อว่าพวกเขาสามารถติดต่อกับคนตายได้ ในครั้งที่มีการแปลพระคัมภีร์มาเป็นภาษาอังกฤษในสมัยศตวรรษที่ 17 มีการใช้คำว่า เวทย์” (necromancy) เพื่อใช้เรียกพิธีกรรมเชิญวิญญาณแบบต่างๆโดยรวม รูปแบบสุดโต่งของความเชื่อรูปแบบนี้จะมีการใช้ศพเป็นสิ่งประกอบในพิธีด้วย ส่วนมากเป็นสัตว์ที่ตายแล้ว แต่ในบางครั้งก็เป็นศพคนตาย เพื่อเอามาทำนายเกี่ยวกับคนเป็น 



ตัวอย่างของความลุ่มหลงที่คนเรามีต่อการทำนายนี้ถูกแสดงไว้ในคำทำนายของเอเสเคียล ในครั้งที่กษัตริย์บาบิโลนทรงปรารถนาจะทราบว่าควรจะโจมตีเยรูซาเล็มหรือไม่ แล้วจะมีชัยเหนือเยรูซาเล็มเช่นนั้นหรือเปล่า หรือพระองค์ควรจะโจมตีพวกคนอัมโมนเสียก่อน



เพราะว่ากษัตริย์บาบิโลนยืนอยู่ที่ทางแพร่งอยู่ที่หัวถนนสองถนนกำหนดหาคำทำนาย ท่านเขย่าลูกธนูและปรึกษา ทราฟีม ท่านมองดูที่ตับ...(เอเสเคียล 21:21)



โดยการเสี่ยงโยนลูกธนูทั้งกำและดูว่าพวกมันจะชี้ไปทางไหน โดยการถามรูปเทพเจ้าของพระองค์และโดยการตรวจดูตับสดๆที่เอามาจากสัตว์ที่ถูกสังเวย พระองค์ทรงเชื่อว่าพระองค์จะได้รับคำตอบด้วยวิธีที่วิเศษนี้  สิ่งเหล่านี้มีผลต่อพระองค์ได้อย่างไร พวกมันบอกคำตอบที่แท้จริงให้พระองค์ทรงทราบได้อย่างไรกัน ไม่น่าสงสัยเลยว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงกำชับคนของพระองค์ไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้



มีสิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตจากรายการสิ่งที่ผู้นิยมลัทธิต่างๆกระทำกัน นั่นก็คือ ยังมีพิธีกรรมบางอย่างที่คนในสมัยนี้กระทำกัน ความกระหายใคร่รู้มิได้หยุดอยู่แต่ในประเทศที่กำลังพัฒนาบางแห่งเท่านั้น ซึ่งหลายประเทศยังคงเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติเพราะการขาดพื้นฐานทางด้านการศึกษาที่ดี หรือไม่ก็ขาดความสนใจอย่างถ่องแท้ในการเรียนประวัติศาสตร์

เป็นไปไม่ได้ที่จะมองข้ามสิ่งนี้เพราะเป็นกลุ่มที่มีคนไม่มากหรือไม่เป็นอันตรายกับส่วนใหญ่ ความกลัวที่ลัทธินี้และพวกบูชาซาตานได้ก่อขึ้นเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย แม้จะเป็นเพียงความสนใจใน ดวงดาว ที่ดูเหมือนจะไม่มีอันตรายใดๆ ตามที่พวกโหรอ้างว่าสามารถบอกรูปแบบของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตคนได้   สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ก่อให้เกิดอันตรายได้พอๆกัน ชะตาชีวิตของคนเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของดวงดาวหรือสิ่งอื่นใดเลย



แล้วความคิดเรื่องขั้วอำนาจที่อยู่ตรงข้ามกันนี้มีที่มาจากไหน สำหรับผู้ที่เชื่อในเรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติอันมีที่มาจากสิ่งชั่วร้าย ความเชื่อนี้ให้คำตอบแก่พวกเขาว่าทำไมในโลกนี้ถึงมีความเลวร้ายและสิ่งชั่วร้ายมากมายนัก เขาจึงสามารถหลีกหนีความรับผิดชอบที่ทำให้โลกนี้เป็นสถานที่ที่เลวร้าย และไม่ว่าจะเกิดในกรณีใดๆก็ตาม เขาจะบอกเราว่าชีวิตนี้เป็นแค่การเตรียมตัวไปสู่โลกของวิญญาณเท่านั้น



กำเนิดมาร

ความคิดเช่นนี้ชวนให้เราถามคำถามพื้นๆเกี่ยวกับมนุษย์ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์และสิ่งที่รอบๆตัวมนุษย์ และคำเห็นของพระองค์ต่อมนุษย์ก็คือผลตัดสินต่อทฤษฎีต่างๆไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม



จริงเช่นนั้นหรือ ตัวอย่างเช่น ตามที่ผู้เชื่อในลัทธิเหล่านั้นอ้างว่าพลังชั่วร้ายเป็นผู้รับผิดชอบความ ชั่วร้ายทั้งมวลที่ปรากฏอยู่ในโลกนี้ พระคัมภีร์ปฏิเสธความเข้าใจนี้อย่างสิ้นเชิง แต่กลับอธิบายตรงๆว่าความรับผิดชอบทั้งหมดขึ้นอยู่กับมนุษย์ทั้งสิ้น โปรดลองพิจารณาข้อพระธรรมต่อไปนี้



พระเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วช้าของมนุษย์มีมากบนแผ่นดินและทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจของเขาล้วนเป็นเรื่องร้ายเสมอไป (ปฐมกาล 6:5)



จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมดมันเสื่อมทรามอย่างร้ายทีเดียวผู้ใดจะรู้จักใจนั้นเล่า (เยเรมีย์ 17:9)



ความคิดชั่วร้ายการฆ่าคนการผิดผัวผิดเมียการล่วงประเวณีการลักขโมยการเป็นพยานเท็จการใส่ร้ายก็ออกมาจากใจ

(มัทธิว 15:19)



มนุษย์ไม่อาจปัดความรับผิดชอบโดยการโทษ สิ่งอื่นๆนอกเหนือจากตัวเขาเองได้ หากไม่อยู่ในสายตาใครๆ สิ่งเย้ายวนกลับมีแรงดึงดูดมหาศาลให้ทำสิ่งผิด ซึ่งให้ความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อต้องหนีจากการกระทำผิดๆที่เราก่อขึ้นเพื่อ ประโยชน์ของเราเอง เรายอมปล่อยตัวเองไปมากกว่าที่จะยอมสู้ทนกับบางสิ่งเพื่อใครบางคนด้วยความอด ทน การทดลองใจนี้เกิดขึ้นจากภายในเรา และก่อตัวขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยแรงจูงใจหรือแรงกระตุ้นภายนอกใดๆ  พระเยซูทรงอธิบายว่าเมื่อเรายอมปล่อยให้ความคิดชั่วร้ายเข้าครอบคลุมใจ ใจเราก็จะถูกชักจูงไปหาความรุนแรงและการทำลายชีวิตอื่น และความปรารถนาอันมิอาจควบคุมนั้นก็นำไปสู่การขโมยและการกระทำผิดทางเพศ (มัทธิว 5:21-28) ถูกแล้ว พระคัมภีร์กล่าวไว้ถูกต้องแล้วที่ว่าความชั่วช้าของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน



ความบาปและความตาย

แต่พระเจ้าไม่ได้ทิ้งมนุษยชาติให้เป็นไปตามวิถีแห่งกระแสกรรมชั่วโดยมิได้เปิดเผยหนทางออกจากปัญหา หรือโดยมิได้ทรงบอกเล่าถึงแผนการอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงมีเพื่อช่วยโลกไว้จากกรรมชั่วที่มนุษย์นำมาสู่โลก เมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลก ยังไม่มีความชั่วร้ายใดๆบนแผ่นดิน ทุกอย่างยังคงสภาพ ดีนัก(ปฐมกาล 1:31) แต่เมื่อชายและหญิงคนแรกตัดสินใจที่จะไม่เชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้าและทำสิ่งต่างๆเพื่อความสุขของพวกเขามากกว่าขององค์พระผู้เป็นเจ้า ชีวิตอันมีขีดจำกัดจึงกลายเป็นกฏพื้นฐานในธรรมชาติของพวกเขาไป ก่อนหน้าที่ทั้งสองจะปฏิเสธพระผู้สร้างของพวกเขา อาดัมและเอวาเคยมีชีวิตที่เป็นสุขและเป็นอมตะ แต่ความหวังนี้กลับต้องสูญสิ้นไปเมื่อพวกเขาถูกขับออกจากสวนเอเดนเพราะการไม่เชื่อฟังของพวกเขาเอง พวกเขาถูกกำหนดให้ต้องตายอันเป็นจุดสิ้นสุดของปุถุชน



ลูกหลานของพวกเขาก็ต้องรับสถานการณ์อันเดียวกันนี้ด้วย คือ จะมีร่างกายที่ไม่เป็นอมตะ ต้องหากินบนแผ่นดินอย่างลำบาก มีแนวโน้มที่จะกระทำบาปอยู่เสมอและต้องพบเจอกับการทดลองใจอยู่เป็นนิตย์ ไม่เว้นแม้ชายหรือหญิงคนใด ผลก็คือโลกนี้กลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย และชายหญิงทุกคนต้องจบชีวิตลงโดยปราศจากข้อยกเว้น



แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ยังคงตั้งหน้าทำบาปกันต่อไปราวกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องหลอกเด็ก ราวกับว่าชีวิตจะคงอยู่อย่างนี้ไปตลอด แม้จะมีหลักฐานมากมายมนุษย์ก็ยังคงเชื่อว่ามีชีวิตที่เป็นอมตะอยู่แน่ๆ ถ้าไม่ได้หมายถึงร่างกาย ก็คงหมายถึงวิญญาณ ช่างเป็นความคิดที่ฟังดูดีแต่เราจะหลอกตัวเองหากเราเชื่อเช่นนั้นจริงๆ คำกล่าวของนักปราชญ์ในเรื่องที่เกี่ยวกับสภาพของคนใกล้ตายนั้นชวนสยองมาก แต่ลึกๆลงไปแล้ว ทุกคนก็ทราบดีว่าที่กล่าวไว้เป็นความจริง



คนตายแล้วก็ไม่รู้อะไรเลยเขาหาได้รับ รางวัลอีกไม่ ด้วยว่าใครๆก็พากันลืมเขาเสียหมด ความรักของเขาไม่น้อยกว่าความชัง และความอิจฉาของเขาได้สาปสูญไปตามกันนานแล้ว ในบรรดาการที่บังเกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์เขาทั้งหลายหามีส่วนร่วมอีกต่อไป ไม่ (ปัญญาจารย์ 9:5, 6)



 คนตายไม่มายุ่งเกี่ยวกับคนเป็น และคนเป็นก็ไม่อาจติดต่อกับคนตายได้ เพราะไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว มันก็ตายและกลับเป็นผงคลี (สดุดี 104:29) ความจริงที่เป็นพื้นฐานนี้มีความนัยที่สำคัญหลายประการต่อผู้ที่เชื่อในโลกแห่งวิญญาณ และต่อผู้ที่คิดว่าข้อความต่างๆสามารถถูกส่งไปมาระหว่างยมโลกกับโลกนี้ หรือมีคนที่รับสารจากยมโลกได้

ใครก็ตามที่ฝากความหวังไว้ในระบบความเชื่อ เช่นนั้นก็เท่ากับกำลังหลอกตัวเอง สิ่งเดียวที่เราจะเรียนจากคนตายได้ก็คือหากปราศจากการแทรกแซงของพระเจ้าแล้ว ความตายถือเป็นที่สิ้นสุดของคนเราและไม่มีใครอาจหนีพ้นจากความตายได้ กระนั้นเองแม้แต่ผู้ที่เชื่อว่าตนเองเป็นผู้เชื่อและศึกษาพระคำของพระเจ้า ก็ยังให้ภาพที่ตรงกันข้ามกับที่ควรจะเป็น

การขาดความรู้และความเคารพในพระเจ้าและคำสอนของพระองค์น่าจะก่อให้เกิดความกังวลอันใหญ่หลวง พระเจ้าไม่เหมือนมนุษย์ที่อาจทำผิดได้ เราไม่อาจเลือกเชื่อเพียงบางสิ่งที่พระองค์ทรงเปิดเผยและปฏิเสธสิ่งอื่นๆจากพระคำของพระองค์ ดังเช่นที่เรากระทำกับมนุษย์ผู้ทำผิดได้เสมอ  เรา ต้องยอมรับทุกสิ่งหรือไม่ก็ปฏิเสธพระองค์ไปเลย การปฏิเสธคำสอนเกี่ยวกับธรรมชาติและชะตากรรมของมนุษย์ ก็คือการปฏิเสธพระสัญญาของพระเจ้าในเรื่องการทรงไถ่ให้พ้นจากบาปและความตาย การเชื่อว่ามีบางสิ่งในโลกที่พระเจ้ามิได้ทรงสร้างขึ้นหรือเชื่อในบางสิ่ง ที่ขัดแย้งกับสิ่งที่พระองค์ทรงเปิดเผยถือเป็นการลดทอนสิทธิอำนาจของพระองค์ พระเยซูทรงอ้างว่า ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดีในแผ่นดินโลกก็ดี พระบิดาได้ทรงมอบไว้แก่พระองค์แล้ว (มัทธิว 28:18)    คำกล่าวอ้างนี้คงไม่เป็นจริงหากว่ามีอีกผู้หนึ่งที่ควบคุมอำนาจชั่วทั้งมวลอยู่ด้วยอีกคน



มีเนื้อความที่น่าสนใจในคำทำนายของอิสยาห์ พระเจ้าทรงตรัสกับกษัตริย์แห่งเปอร์เซียผู้ซึ่งทรงเชื่อในพระเจ้าสององค์ที่มีอำนาจเท่าๆกัน คือพระเจ้าแห่งความดีและพระเจ้าแห่งความชั่ว แห่งแสงสว่างและแห่งความมืด เพื่ออธิบายว่าพระเจ้าของอิสราเอลคือพระผู้เป็นเจ้าของโลกนี้ พระองค์ทรงตรัสว่า



เราเป็นพระเจ้าและไม่มีอื่นใดอีกนอกจากเรา...เราปั้นความสว่างและสร้างความมืด เราทำโชคและสร้างวิบัติ เราคือพระเจ้าผู้กระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น (อิสยาห์ 45:5-7)



ผู้สร้างความชั่ว

หากเป็นดั่งที่พระธรรมเล่มอื่นได้แสดงไว้ นั่นคือ มนุษย์เป็นผู้รับผิดชอบต่อความชั่วร้ายทั้งมวลที่หยั่งรากอยู่บนโลกใบนี้และมนุษย์มิอาจโทษสิ่งอื่นใดได้ แล้วพระเจ้าอ้างพระองค์ว่าเป็นผู้ก่อหายนะหรือผู้สร้างความชั่วร้ายได้อย่างไรกัน ผู้เผยพระวจนะอาโมสกล่าวว่า จะมีภัยตกอยู่ในเมืองหนึ่งเมืองใดหรือ นอกจากว่าพระเจ้าทรงกระทำเอง

(อาโมส 3:6)   



เราต้องเข้าใจความหมายของประโยคนี้อย่างถ่องแท้ ในบริบทของพระคัมภีร์ ความชั่วร้ายเป็นผลพวงของความบาป มันมิใช่ความบาปเอง และมิใช่สาเหตุของความบาปด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การตอบสนองของพระเจ้าต่อความบาปนั้นมีจุดประสงค์ที่ซ้อนกันอยู่ถึงสองอย่าง คือ เพื่อเปิดเผยว่าความบาปจริงๆแล้วนั้นคือการไม่เชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้า และเพื่อสอนคนบาปให้เห็นคุณประโยชน์ของการปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์ อย่างที่เราได้ทราบกัน การที่มนุษย์ต้องเดินทางเข้าสู่แผ่นดินที่เต็มไปด้วยต้นไม้หนาม  โรคภัยและความทุกข์ ความเจ็บปวดและความตาย ก็เป็นเพราะบาปประการแรกของมนุษย์เมื่อเขาได้ละเมิดกฏของพระเจ้า มนุษย์จึงตกเป็นผู้ที่กระทำผิดทางศีลธรรม แต่ผลทางกายภาพคือพระเจ้าทรงสาปพวกเขาเพราะการที่พวกเขาละเมิดคำสั่งนั้น เพื่อให้เขาจดจำถึงความดื้อดึงของตัวเองไว้เสมอ  ต่างจากแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังอำนาจเหนือธรรมชาติซึ่งสนับสนุนให้ชายหญิงกระทำสิ่งบาปชั่ว พระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดให้สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งล่อลวงมนุษย์ให้ทำบาป พระเจ้ามิได้ทรงประสงค์ให้มนุษย์ต้องตาย พระองค์ต้องการให้มนุษย์มีชีวิต ทรงมีพระประสงค์ให้คนทั้งปวงรอด อัครสาวกเปาโลกล่าวว่าไว้ (1ทิโมธี 2:4) ความชั่วปรากฏขึ้นในโลก มิใช่เพื่อล่อลวงชายหญิงให้ต่อต้านพระเจ้า แต่เพื่อเตือนพวกเขาให้รู้ว่าพระเจ้าทรงมองการฝ่าฝืนพระคำและความบาปว่าเป็นเช่นไร และจะนำไปสู่สิ่งใด โดยธรรมชาติแล้วพวกมันเป็นสิ่งที่นำหน้าความหายนะและความตาย นอกเหนือจากการที่เป็นโทษอันสาสมแห่งการไม่เชื่อฟังแล้ว ความชั่วร้ายและหายนะเกิดขึ้นเพื่อกระตุ้นเตือนให้เกิดสิ่งที่ประเสริฐกว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนวิถีทางแห่งความดี มิใช่ความชั่ว



ผู้สร้างสันติ

พระเจ้าทรงเป็นผู้ปั้นความสันติไว้ มนุษย์สามารถเรียนรู้จากพระองค์เท่านั้น ว่ามีสิ่งใดบ้างที่ประเสริฐในสายพระเนตรพระเจ้า ซึ่งเขาต้องทำและเขาจะอดทนต่อสิ่งต่างๆที่มาล่อลวงได้อย่างไร พระเจ้าทรงสัญญาว่าพระองค์จะทรงขจัดโลกที่เกี่ยวข้องกับความบาป

ความตายจะไม่มีอีกต่อไป การคร่ำครวญ การร้องไห้และการเจ็บปวด จะไม่มีอีกต่อไปเพราะยุคเดิมนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว (วิวรณ์ 21:4)



พระ สัญญานี้เกี่ยวข้องกับพันธกิจของพระเยซูคริสตเจ้า พระบุตรของพระองค์ เพราะพันธกิจของพระเยซูช่วยเปิดเผยสิ่งที่ไม่ถูกต้องในระบบความเชื่อต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณหรือโลกอื่นที่ถูกซ่อนไว้ ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของสิ่งที่ไม่เข้ากับวิถีทางของพระเจ้า



พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน จะโปรดให้ผู้เผยพระวจนะอย่างข้าพเจ้านี้เกิดขึ้นในหมู่พวกท่าน จากพี่น้องของท่าน  ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังเขา (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15)  



ชนชาตินี้จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการปฏิบัติทั้งหลายอันมีมลทินของพวกคนที่ไม่นับถือพระเจ้าที่อาศัยอยู่รอบข้าง เพราะพระเจ้าทรงสัญญาว่าจะตรัสกับพวกเขาในหนทางที่พิเศษมาก และจะทรงเปิดเผยพระองค์เองแก่พวกเขาด้วยวิธีการของพระองค์ พระองค์จะทรงส่งผู้เผยพระวจนะมาคนหนึ่ง เป็นผู้ซึ่งจะกล่าวพระคำของพระองค์ นำคนให้เข้าใจอดีต อธิบายถึงสถานการณ์ปัจจุบัน และเปิดเผยถึงอนาคตที่เป็นไปได้ของเขา



เฉกเช่นพี่น้องของเขา

ผู้เผยพระวจนะคนดังกล่าว หมายถึงพระเยซูคริสตเจ้า พระองค์ทรง ต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องทุกอย่าง (ฮีบรู 2:17) ในแง่ที่ว่าพระองค์ทรงมีสภาพทางร่างกายเหมือนๆกับมนุษย์ทุกประการ พระองค์ทรงรู้จักสิ่งล่อลวงต่างๆที่ทำให้มนุษย์เป็นทุกข์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน พระองค์อายุมากขึ้น ทรงเหนื่อยล้าและเจ็บปวด และทรงสิ้นพระชนม์ ในเรื่องเหล่านี้พระองค์ทรงเป็นเหมือนคนอื่นๆที่เคยมีชีวิตอยู่ แต่จะมีความแตกต่างที่สำคัญอยู่ประการหนึ่ง คือ ขณะที่คนอื่นๆไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระองค์กลับเชื่อฟังพระเจ้าเสมอ  คนทุกคนได้กระทำผิดและทำบาป แต่พระเยซูมิได้ทรงกระทำเช่นนั้นเลย แม้ว่าพระองค์จะอยู่ในสถานการณ์ของโลกซึ่งเป็นผลของความบาปครั้งแรก พระองค์ทรงพิสูจน์แล้วว่าทรงสมควรกับสิ่งที่ประเสริฐกว่า หากความตายคือการตัดสินของพระเจ้าต่อบาปของเรา ชีวิตที่เชื่อฟังของพระเยซูสำแดงให้เห็นว่าแม้พระองค์จะทรงยอมตายอย่างเต็มพระทัยตามพระบัญชาของพระเจ้า พระองค์ก็ไม่สมควรจะต้องตายเหมือนคนอื่นๆ  พระเจ้าจึงทรงชุบพระองค์ขึ้นจากความตาย เพราะว่าความตายจะครอบงำพระองค์ไว้ไม่ได้ (กิจการ 2:24)    



ฉะนั้นพระองค์จึงทรงเป็นหนทางรอดจากบาปและความตายสำหรับผู้ที่เชื่อพึ่งในชัยชนะของพระองค์  โมเสสบอกอิสราเอลว่าพระเจ้าจะส่งคนผู้หนึ่งมาซึ่งเป็นผู้ที่พวกเขาต้องฟัง ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังเขาสิ่งเหล่านี้แตกต่างจากการปฏิบัติของชนชาติที่อยู่รายรอบ พระคำของพระเจ้าเป็นแสงสว่างที่ส่องให้ชายหญิงได้เห็นชีวิตแบบที่ควรค่ากับพวกเขา (สดุดี 119:105) พระเยซูทรงเป็นความสว่างของมนุษย์ (ยอห์น 1:4) เป็นความสว่างของโลก (ยอห์น 8:12) การเชื่อลัทธิซาตาน ปีศาจและแม่มดเป็นศาสตร์มืดและลึกลับ พระเจ้าทรงส่งพระเยซูมาเป็นแสงสว่างส่องทางแม้จะอยู่ในอุโมงค์มืดของพวกเขา และจะทรงเปิดเผยความผิดพลาดร้ายแรงต่างๆที่คนเหล่านี้หลงงมงายกระทำไปเพราะเชื่อในลัทธิที่กล่าวมาข้างต้น



แต่กระนั้นบางคนยังเชื่อว่าพระเยซูเองยังทรงตรัสถึงการมีอยู่ของอำนาจซาตานที่คอยควบคุมมนุษยชาติไว้ เราจำเป็นต้องแน่ใจว่าพระเยซูทรงตรัสและกระทำสิ่งต่างๆโดยจะสอดคล้องกับพระคำของพระบิดาที่ตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะในยุคก่อนหน้านั้น หากเราจะยอมรับพระองค์ว่าเป็นผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าทรงพระสัญญาไว้เมื่อโมเสสกล่าวกับชนชาติอิสราเอล โดยเตือนมิให้พวกเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการปฏิบัติของลัทธิเหล่านั้น



พระเยซูทรงเชื่อว่ามีวิญญาณชั่วที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติหรือไม่

ในระหว่างที่พระเยซูทรงออกสั่งสอน พระองค์ทรงรักษาผู้คนมากมายที่เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ มีบันทึกไว้ว่า ได้ทรงขับผีออกเสียหลายผี (มาระโก 1:34) นี่คือจุดที่บรรดาผู้เชื่อในลัทธิต่างๆถือเอาว่าจะต้องมีพลังอำนาจมืดที่คอยควบคุมโลกอยู่อย่างแน่นอน เพราะพระเยซูเองยังทรงกล่าวถึงอำนาจดังกล่าว ดังจากข้อความที่เห็นข้างต้น



การ ตรวจสอบข้อเท็จจริงในพระคัมภีร์เกี่ยวกับการอัศจรรย์ของพระเยซูและเหล่าอัคร สาวกแสดงว่าจุดใดก็ตามที่มีการอธิบายถึงหลักฐานทางกายภาพอันชัดเจนที่ชี้ถึง สาเหตุของโรค  อาการเจ็บป่วยนั้นก็จะถูกอธิบายให้เข้าใจได้อย่างง่ายๆ เช่น คนตาบอดมองไม่เห็น คนขาเสีย หรือคนหูหนวก คนที่มีแขนขาลีบลง ไม่อาจทรงตัวได้ คนที่มีเลือดไหลอยู่ตลอด หรือคนที่เป็นโรคเรื้อน แต่เมื่อไม่อาจพบหลักฐานทางกายภาพที่ชัดเจนได้หรือเป็นโรคที่หาข้อมูลมาอธิบายในสมัยนั้นไม่ได้ ผู้คนก็ถือเอาว่าวิญญาณร้ายเป็นผู้กระทำให้เกิดโรคนั้นๆ



ตัวอย่างหนึ่งน่าจะอธิบายเรื่องนี้ได้ชัดเจน ในพระธรรมมัทธิว การรักษาสองเหตุการณ์ถูกนำมาเชื่อมกัน เหตุการณ์แรกเกี่ยวข้องกับคนตาบอดสองคนที่พระเยซูทรงรักษา มีบันทึกไว้เพียงว่า แล้วนัยน์ตาของเขาก็กลับเห็นดี (มัทธิว 9:30)  

 แต่หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อชายทั้งสองจากไป ชายอีกคนถูกนำมาหาพระเยซู เขา เป็นใบ้และมีผีสิงอยู่(ข้อ 32)    แปลก มากที่ชายสองคนตาบอดเพราะตาของพวกเขาต้องการให้ถูกเปิดออก แต่อีกคนเป็นใบ้เพราะถูกผีสิง ถ้ามีสิ่งที่เรียกว่าผีสิงอยู่จริง งั้นโรคทั้งสองก็ควรจะเกิดจากวิญญาณชั่วด้วยกันทั้งคู่ คำอธิบายเดียวที่ฟังดูมีเหตุผลและสอดคล้องกับคำสอนที่เหลือในพระคัมภีร์ก็ คือ โรคภัยที่ปราศจากสาเหตุที่ชัดเจนถูกลงความเห็นว่าในสมัยนั้นว่าเป็นการกระทำ ของวิญญาณชั่ว



นี่ไม่ได้หมายความว่าพระเยซูเองก็ทรงไร้การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ พระองค์ทรงทราบดีว่ามีพระเจ้าเดียวซึ่งพระองค์ไม่ทรงมีคู่แข่ง แต่ผ่านการอัศจรรย์ของพระองค์ พระเยซูกำลังสำแดงให้ประชาชนเห็นว่าในพระอาณาจักรของพระองค์ อายุ ความบาปและความตายจะไม่มาข้องแวะกับผู้ที่พระองค์ทรงชุบขึ้นให้เป็นเหมือนพระองค์ คือ พวกเขาจะเป็นอมตะและไม่เน่าเปื่อย และสมมุติว่าพระองค์ทรงเลือกที่จะอธิบายวิวัฒนาการทางการแพทย์ในช่วงสองศตวรรษที่ผ่านมา บรรดาเพื่อนร่วมชาติของพระองค์ก็คงจะไม่เข้าใจแน่ๆ แต่พวกเขาเข้าใจถึงอำนาจและพระสัญญาของพระองค์ที่จะมาในอนาคตได้



ผลของความเข้าใจที่เกิดกับผู้ติดตามพระเยซูในสมัยหลังยุคพันธกิจของพระเยซูในอิสราเอล ก็คือ พวกเขาเข้าใจความจริงเกี่ยวกับลัทธิความเชื่อต่างๆ เวทมนตร์และการบูชาซาตาน พวกเขารู้ว่าสิ่งดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากคำกล่าวอ้างผิดๆและจะคงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีความกลัวเข้ามาเกี่ยวข้องเท่านั้น ซึ่งเป็นความรู้สึกที่พวกหลงผิดมุ่งที่จะสร้างขึ้นและรักษาให้คงอยู่เสมอไป พวกที่เล่นไสยศาสตร์เองก็เห็นความแตกต่างระหว่างอำนาจที่พวกเขามีกับอำนาจที่พวกอัครสาวกมี ดังตัวอย่างของชายผู้หนึ่งในสะมาเรียซึ่ง เขาได้ทำวิทยาคมให้คนทั้งหลายพิศวงหลงใหลมานานแล้วเมื่อเขาได้เห็นอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขารู้ทันทีว่าอำนาจนั้นสูงส่งกว่าอำนาจที่ตัวเขามีเสียอีกและเขายังพยายามขอซื้ออำนาจวิเศษของอัครสาวกด้วย (กิจการ 8:9-24)



ในอีกเมืองหนึ่งคือเอเฟซัส มีคนบางกลุ่มที่หลงใหลในวิทยาคม พวกเขาหันมาเชื่อในความยิ่งใหญ่ของอำนาจที่บรรดาอัครสาวกได้รับเมื่อ พวกยิวบางคนที่เที่ยวไปเป็นหมอผีพยายามใช้พระนามของพระเยซูเจ้าขับผีร้าย...ฝ่ายผีร้ายจึงพูดกับเขาว่าพระเยซูข้าก็คุ้นเคยและเปาโลข้าก็รู้จักแต่พวกเจ้าเป็นผู้ใดเล่า ผลของเหตุการณ์นี้ก็คือหลายคนที่ใช้เวทมนตร์คาถาได้เอาตำราของตนมาเผาไฟเสียต่อหน้าคนทั้งปวง (กิจการ 19:11-20)

อำนาจหนึ่งเดียว

นี่ คือความสัตย์จริงอันทรงพลังเกี่ยวกับการตอบสนองต่อข่าวดีของพระเจ้า ทันทีที่คัมภีร์เวทมนตร์เหล่านั้นถูกเผา ก็ไม่อาจใช้การอีกได้ นับเป็นการแสดงความเชื่ออันมั่นคงว่าการบูชาซาตานและคริสตศาสนาไม่อาจอยู่ ร่วมกันได้ อย่างที่อัครสาวกเปาโลเขียนไว้ว่า ความชอบธรรมจะมีหุ้นส่วนอะไรกับความอธรรมและความสว่างจะเข้าสนิทกับความมืดได้อย่างไร (2โครินธ์6: 14,16) ในปัจจุบันใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับลัทธิมนตร์ดำหรือผู้ที่กลัวเกรงผลที่จะ เกิดขึ้นถ้าปฏิเสธมันสามารถเข้าพึ่งในที่มั่นอันแข็งแกรงยิ่ง ซึ่งเราได้เห็นแล้วจากเรื่องของสาวกในเมืองเอเฟซัสในยุคแรกนั้น   พวกเขารู้ว่าพระเจ้าได้ทรงประทานอำนาจยิ่งใหญ่อันไม่มีวันหมดสิ้นแก่พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ พวกเขาระลึกได้ถึงความจริงข้อนี้ที่อิสยาห์กล่าวไว้

และเมื่อเขาทั้งหลายกล่าวแก่พวกท่านว่า"จงปรึกษากับคนทรงและพ่อมดแม่มดผู้ร้องเสียงจ๊อกแจ๊กและเสียงพึมพำ"ไม่ควรที่ประชาชนจะปรึกษากับพระเจ้าของเขาหรือควรเขาจะไปปรึกษาคนตายเพื่อคนเป็นหรือไปค้นพระโอวาทและถ้อยคำพยานดูเถิด แน่นอนทีเดียวคนที่ไปพูดเช่นนี้ก็เป็นคนที่ไม่มีรุ่งอรุณเสียเลย (อิสยาห์ 8:19, 20)  

นี่คือคำแนะนำที่เราอยากจะเสนอผ่านหนังสือเล่มนี้ มีเพียงอำนาจเดียวที่คุ้มค่ากับการเชื่อถือในเรื่องแบบนี้ คนตายจะให้ความหวังอะไรกับคนเป็นได้ พวกเขาจะสอนอะไรเราได้นอกจากว่าความตายเป็นสิ่งแน่นอนสำหรับทุกคนบนโลก คนทรง พ่อมด หมอผีในศาสตร์มืดเหล่านี้ ต่างก็อ้างว่าสามารถติดต่อกับคนตายในยมโลกได้ทั้งนั้น แต่ความจริงแล้วไม่มีสิ่งที่เรียกว่ายมโลก แล้วก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า วิญญาณคนตายด้วย คนทรงไม่สามารถสอบผ่านการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ได้ แต่ที่สำคัญกว่านั้น คนที่อ้างเช่นนั้น ก็เป็นคนที่ไม่มีรุ่งอรุณเสียเลย นั่นคือเขาไม่มีเชื่อในพระเจ้าและไม่ถือเอาพระคำของพระองค์ไว้ ซึ่งพระคำปฏิเสธเรื่องการมีอยู่ของโลกในมิตินั้น 

พระเยซู พระผู้เป็นแสงสว่างของโลก

หากเราต้องการจะทราบว่าคนเป็นยังอาจหวังในสิ่งใดได้อีก เราต้องหันหน้าสู่พระคริสต์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ เพราะได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นจากตาย พระเยซูทรงเป็นอมตะและทรงรออยู่ในสวรรค์ ทรงรอวันที่พระบิดาเจ้าจะส่งพระเยซูกลับมายังโลกนี้อีกครั้ง เพื่อชุบคนตายให้ฟื้น พิพากษาพวกเขาและสถาปนาพระอาณาจักรแห่งหนึ่งไว้ที่กรุงเยรูซาเล็ม นี่คือพระสัญญาที่เชื่อถือได้และคุ้มค่ากับการรอคอยซึ่งพระเจ้าทรงมอบแก่มนุษย์ มิใช่คำบอกที่คลุมเครือซึ่งจงใจปิดบังไว้ หลังการคืนพระชนม์ของพระเยซู อัครสาวกของพระองค์ออกเดินทางไปทั่วโลกในสมัยนั้น พวกท่านได้เที่ยวสั่งสอน ข่าวดีแห่งพระอาณาจักรของพระเจ้าพวกเขาสามารถอ้างได้ว่า การเหล่านั้นมิได้กระทำกันในที่ลับลี้ (กิจการ 26:26) สิ่งนี้ก็ยังเป็นจริงแม้ในปัจจุบัน ข้อมูลเกี่ยวกับแผนการช่วยให้รอดของพระเจ้าสามารถหาอ่านได้อย่างไม่คิดมูลค่าในพระคัมภีร์ มันจะต้องกลายมาเป็นบททดสอบความคิดทั้งหลายทั้งมวลของมนุษย์ เมื่อความคิดดังกล่าวสอดคล้องกับเนื้อหาของพระคัมภีร์ ความคิดเหล่านั้นก็บอกเล่าถึงความจริง หากเมื่อมันไม่เหมือนกับสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัสไว้หรือขัดแย้งกันเลย ก็จัดว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่จริงแท้

คุณปรารถนาจะเกี่ยวข้องกับชีวิตหรือความตาย กับแสงสว่างหรือความมืด พระเจ้าทรงจำได้แต่เฉพาะผู้ที่เข้าหาพระองค์ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เพราะพระเยซูคริสต์ทรงเป็นความสว่างและเป็นชีวิต

ไมเคิล แอชตัน


ขอบคุณที่มาhttp://www.god-so-loved-the-world.org/thai/satanism_or_christianity_%28thai%29.htm

   

†×† ..SoundOfMadness.. †×†